วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สุโค่ยเรื่องเสียว คนขับรถโชคดีสุดๆ xxx




     กระผมทำงานเป็นคนรถอยู่บ้านแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิทซอย 3 กระผมอายุประมาณ 57 ปีมีเมียแล้ว แต่เมียสุขภาพไม่ค่อยดี จึงทำให้กระผมห่างเหินกับเรื่องนี้มานาน แต่กระผมเป็นคนที่มีความต้องการทางเพศสูงมาก ในบ้านของคุณท่าน กระผมพักอยู่ในเรือนเล็กหลังบ้าน ติดกับสวนหลังห้องครัว บ้านหลังนี้มีอยู่กัน 6 คน มีคุณท่านกับคุณ ผู้หญิง และลูกสาว 1 คน และน้องผู้ชายคนเล็กอีกหนึ่งคน ยังเรียนอยู่ชั้นประถม ลูกสาวของคุณท่านนั้นกระผมเห็นเธอมา 


     ตั้งแต่เด็ก เธอชื่อคุณหนูแคท เป็นลูกสาวคนเดียวสุดหวงของคุณท่านและคุณผู้หญิง เธอถูกส่งไปเรียนที่ประเทศอังกฤษนาน หลายปี แล้ววันหนึ่งคุณท่านบอกกับกระผมว่า คุณหนูแคทจะกลับ และจะมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ และกระผม ก็ต้องไปรับเธอที่สนามบิน พร้อมกับคุณท่านและคุณผู้หญิง เมื่อกระผมเห็นคุณหนูครั้งแรก กระผมแทบไม่เชื่อสายตาของ ตัวเองเลยว่า คุณหนูแคทที่กระผมเคยเห็นเมื่อครั้งที่เธอยังเด็ก กับคุณหนูแคทที่กระผมเจอในวันนี้ เธอได้เปลี่ยนไปมาก เธออายุ 17 ปี เธอสูงประมาณ 170 ซม. ผิวขาวอมชมพู รูปร่างอวบอัด ผมยาวประบ่า เธอสวมเสื้อยืดบางเบาแขนกุด รัดรึงทรวงอกอันอวบอูม แขนเสื้อเว้าลึกมากจนมองเห็นเนินอกอวบขาวผุดผ่อง ล้นทะลักออกข้างเสื้อยกทรงสีดำลายลูกไม้ ตัวจิ๋ว ชายเสื้อยืดเอวลอยจนมองเห็นสะดือกลมโบ๋ และหน้าท้องอันขาวเนียน วันนั้นกระผมขับรถอย่างแทบไม่มีสติ และเมื่อกลับถึงบ้านกระผมแทบไม่เป็นอันกินอันนอน ตกกลางคืนกระผมก็อดคิดถึงเรือนร่างอันเย้ายวนของคุณหนูแคทไม่ได้ 

     จนผมต้องชักรอกตัวเองไปหลายครั้ง นับตั้งแต่นั้นมา กระผมก็มีหน้าที่ขับรถรับส่งคุณหนูที่มหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง แต่ตัว เธอมองผมเป็นขี้ข้ากับเจ้านายอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่ตอนที่เธอยังเด็ก เธอให้ความเคารพผมอย่างผู้ใหญ่คนหนึ่ง และแล้ววันที่ กระผมไม่คาดคิดคาดฝันก็เกิดขึ้น วันนั้นเป็นวันปีใหม่เมื่อปี 43 คุณท่านกับคุณผู้หญิงไปพักผ่อนที่ต่างประเทศ เป็นเวลา ประมาณ 2 อาทิตย์ ส่วนเช้าวันนั้นตัวคุณหนูฝากบอกเมียผม ว่าจะไปงานกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยช่วงตอนเย็น ส่วนตัวผม เองก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งตกเย็นหลังจากผมได้ล้างรถและกินข้าวกับเมีย สักพักคุณหนูก็ได้เดินลงมาจากเรือนหลังใหญ่ ผมแทบไม่เชื่อสายตายตัวเอง คุณหนูได้แต่งตัวกระโปรงสั้นสีขาว แล้วใส่เสื้อยืดบางจนรัดหน้าอกหน้าใจออกมาให้เห็น ใส่รองเท้าส้นสูง แล้วถือกระเป๋าราคาแพงตามสมัยนิยม จนผมมองอย่างอดสายตาไม่ได้ จนคุณหนูหันมามองอย่างไม่พอใจ หลังจากที่ผมไปส่งคุณหนูที่มหาวิทยาลัยตั้งแต่ตอนประมาณ 1 ทุ่มกว่าๆ ผมได้นอนรอในรถถึงประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ คุณหนูได้เดินมาที่รถพร้อมกับเพื่อนๆ อีก 2 คน แล้วบอกผมให้ขับไปผับแถวสุขุมวิท ผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเป็นหน้าที่ ของผมอยู่แล้ว 

      จนผมได้ไปส่งคุณหนูและได้นั่งรอในรถอีกถึงประมาณตี 1 กว่าๆ เพื่อนๆ ของคุณหนูได้เดินมาส่งคุณหนู ในสภาพที่เมามายคุมสติตัวเองไม่อยู่ ผมก็รีบเปิดประตูหลังช่วยเพื่อนคุณหนูประคองคุณหนูขึ้นรถ เป็นครั้งแรกของกระผม ที่ได้สัมผัสตัวคุณหนูแคท ส่วนตัวผมได้ถามเพื่อนคุณหนูว่าจะให้ไปส่งไหม พวกเพื่อนคุณหนูบอกผมว่าไม่ต้อง เพราะเธอมี เพื่อนไปส่งแล้ว ดังนั้นผมจึงได้แยกตัวแล้วขับรถออกมาจากแถวนั้น สักพักได้แยกเข้าซอยทางลัดของสุขุมวิท ผมขับรถได้ ประมาณ 10 นาที ผมได้มองกระจกหลัง พระเจ้าช่วยด้วยเถิด ผมเห็นในสิ่งที่ผู้ชายทั้งหลายอยากเห็น ผมเห็นคุณหนูนอน ขวางตอนที่นั่งหลัง ขาหนึ่งข้างยกขึ้นมาตั้งชัน ทำให้เห็นโคนขาลึกขาว แล้วเสื้อที่คุณหนูใส่ได้หดร่นเห็นสะดือขาว ผมกวาดสายตาไปทั้งเรือนร่างของคุณหนู อวัยวะเพศที่ไม่ได้ใช้งานมานาน กลับแข็งตัวอย่างที่ไม่เคยเป็น ทำให้กางเกงของ ผมตุงและแฉะ ทันใดนั้นเองในหัวสมองของผมก็ได้มีแผนการแล่นผ่านมา ผมจึงตัดสินใจวกรถกลับไปยังซอยซึ่งมีโรงแรม ม่านรูดอยู่ ผมได้ขับรถเข้าไปอย่างคุมสติตัวเองไม่ถูก ผมได้จ่ายสตางค์กับเด็กรูดม่านเสร็จ ผมก็เดินเข้ามาในรถแล้วมองเห็น ร่างคุณหนูนั้นขาวไม่มีที่ติ ผมได้เดินลงไปจากรถอีกทีนึง แล้วมองซ้ายมองขวา ผมได้เปิดประตูหลังด้านที่คุณหนูหันขาไป พอผมเปิดประตูผมถึงกับตะลึง ท่อนในกางเกงของผมมันแข็งจนปวดไปหมด ก็เพราะว่ากางเกงในสีขาวจิ๋ว ที่ปิดหน้าเนิน อวบโหนกนูนมากของคุณหนูคนสวย ขอบกางเกงในมันปลิ้นรวมตัวกันกลางร่องแยก เปิดให้เห็นแคมหนาสองข้างอวบอูม เป็นสันหนาขาวเกลี้ยงเกลามีขนหมอยบาง ชัดเจนถนัดสายตามาก ขาอ่อนอวบอัดสุดโคนขา มันช่างขาวเรียวยาวผุดผ่อง เนียนลูกตา ชะเวิบชะวาบสะอาดตายั่วกิเลศ มันมากสุดที่จะบรรยาย เสือล้างสังเวียนมานานถึงกับสูดปากซี้ดด..ด้วยความ เสี้ยน ผมได้ถือวิสาสะวางมือไว้ที่ขาอ่อนแล้วเขย่าเบาๆ แล้วพูดว่า คุณหนูครับถึงบ้านแล้ว แต่เธอเมามากแล้วบอกผมว่าลุก ไม่ไหว ผมเลยหิ้วปีกเธอเข้าไปในห้อง และเธอก็เมามากจนไม่ได้สติว่าอยู่ที่ไหนอนิจจา ผมวางคุณหนูลงบนเตียง แล้วนั่งมองร่างอันยั่วยวนและไร้สติอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกระผมก็ได้ถือโอกาสเลื่อน ฝ่ามือหยาบ ที่สั่นระริกเพราะความตื่นเต้น มาวางแหมะที่ต้นขาอ่อนพลางลูบไล้ไปมา ปลายนิ้วที่ใหญ่กร้านค่อยๆ ไต่แซะ เข้าชายกระโปรงจนสุดโคนขา สัมผัสโดนขอบกางเกงในตัวเล็กบางจิ๋ว ปลายนิ้วชี้แตะโดนขอบแคม มันบ่งบอกให้รู้ถึงความ โหนกนูนของเนินเนื้อสาวรุ่นลูกผู้ดี พอเนินเนื้อส่วนที่หวงแหนที่สุดของเพศหญิงถูกสัมผัส เด็กสาวถึงกับตื่นจากภวังค์ร้อง "อุ๊ย..ลุงอาจ แกจะทำอะไรชั้น เอามือออกไปเดี๋ยวนี้นะ ไอ้แก่บ้า อุ๊ย..อย่าทำชั้น..โอ๊ย" คุณหนูสาวสวยวัยรุ่นร้องห้ามคนรถ วัยแก่ เสียงหลงแต่หาเป็นผลไม่ คนรถเจ้าเล่ห์ที่ร้างห่างการเสพสมมานานอย่างกระผม ก็ไม่ฟังเสียง

       กระผมได้ทีก็งัดแท่ง เอ็นดำออกมาทันที คุณหนูสาวยังคงร้องครางอย่างอ่อนแรง เนื่องจากพิษสุรา ผมจึงไม่รีรอที่จะเอาปากประกบปากแดงของ คุณหนูแคท พร้อมกับงัดแท่งเอ็นดำที่เยิ้มฉ่ำปลายด้วยน้ำเมือก ถูไถไปที่บริเวณกางเกงในที่ปกปิดกลีบสวรรค์ของคุณหนู มือที่อยาบกร้านของผมได้ล้วงแหย่เข้าร่องหลืบสวรรค์เด็กสาว บีบบี้เม็ดแตดที่ตอนนี้ตื่นลุกสู้มือ เธอร้องว่า "อุ้ย..อู๊ยย์.. ซี้ดดดด..พอแล้วๆ ลุงอาจหยุดพอได้แล้ว น้ำตาของคุณหนูออกมาอาบแก้มขาว แต่ผมยังคงล้วงแหย่ร่องรูจนน้ำซ่า เธอถึงกับ หมดแรง ผมผวาเข้าเกี่ยวขอบกางเกงใน แล้วเบี่ยงโดยยังไม่ถอดออก เด็กสาวได้สติพยายามบิดเอี่ยวตัวหนี แล้วร้องว่าได้ โปรดอย่าทำชั้นเลย อย่าทำอย่างงั้น ผมไม่ฟังเสียงอะไรทั้งนั้น ผมได้ก้มลงไปแล้วใช้ลิ้นเลียของคุณหนู ผมได้กลิ่นน้ำหอมที่ คุณหนูพรมเอาไว้ มันช่างยั่วยวนจนผมทนต่อความเงี่ยนไม่ไหวอีกแล้ว ผมจ่อหัวถอกบานเงี่ยน จ่อเข้ารูแดงเล็กตีบตัน แล้วกัดฟันกระเด้าอย่างแรงทีเดียว มิดหายเข้ารูที่เยิ้มฉ่ำด้วยน้ำลายของผม ยันหนอกขาวที่อวบอูมโหนกนูนกว้างใหญ่ ขนหมอยที่หยาบหนาของผมแยงเข้าร่องรูปลิออกเลือดไหลซิม เธอผวาร่างกระเสือกกระสนหนี สองฝ่ามือที่ขาวนุ่มนิ่มยัน หน้าอกของผม แล้วคุณหนูร้องว่า "อู๊ยยย์..ซี้ดด์.. เจ็บเหลือเกินลุงอาจ เอาของแกออกไป ซี้ด..ชั้นเจ็บ อู๊ยย์..คุณแม่ขา ช่วยหนู ด้วย หนูเจ็บเหลือเกิน อือ..อือ.."

         เด็กสาวถูกท่อนของผมกระเด้าจนปริ ถึงกับร้องเรียกให้คุณแม่ช่วย ด้วยเสียงหลงสั่นเครือ สะอึกสะอื้น น้ำตาแห่งความเจ็บไหลอาบแก้ม ส่วนตัวผมเอง ผมก้มลงไปมองของผมปักอยู่กลางร่องสวรรค์ของคุณหนู ผมค่อยๆ ขยับเข้าขยับออก แคมของคุณหนูมันปลิ้นเข้าปลิ้นออก ดูดรัดเอ็นดำของผมจนแถบขยับตัวไม่ได้ ผมคิดในใจว่า หยิ่งดีนักขอกระเด้าให้หนำใจหน่อยนะ นี่แน่ๆๆ ผมก้มหน้าก้มตาซอยท่อนอย่างเมามัน โดยไม่สนว่ารูคุณหนูจะเเหกจะพังมั้ย ผมเร่งแรงขึ้นเรื่อยๆ จนผมทนไม่ไหว ผมได้ยกขาคุณหนูขึ้นบ่าแล้วกระแทกอย่างเร็ว คุณหนูก็ร้องระงมตลอดจนผมทน ไม่ไหว ได้ฉีดน้ำเงี่ยนเข้าปากมดลูกของคุณหนูล้นปรี่ ทะลักออกมาข้างนอกเปียกปอนเหนียวเยิ้มเหนอะหนะ หลังจากที่ผม ได้เสพสวาทคุณหนู ผมเหลือบดูเวลาประมาณตี 2 ครึ่ง ผมคิดว่ายังมีเวลาพอที่ผมจะตักตวงความสุขจากคุณหนู คุณหนูยัง ไม่หยุดร้องไห้ ผมเดินย่างสามขุมไปที่ร่างเธอ แล้วจัดแจงถอดเสื้อผ้าเธอออก ผมเฝ้ารอเวลานี้มานาน เวลาที่ผมจะเห็นร่าง เปลือยเปล่าของคุณหนู คุณหนูหมดแรงที่จะขัดขืน ผมได้เห็นร่างอันขาวนวลจนผมมีอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง แต่คุณหนูยกมือ ไหว้ผม แล้วบอกว่าอย่าทำเธออีกเลย แล้วเธอจะไม่บอกใคร แล้วเธอก็ไม่หยุดร้องจนผมไม่ตอบอะไร สักพักเธอจึงบอกว่า เธออยากเข้าห้องน้ำ ผมก็บอกว่าเข้าได้แต่ห้ามปิดประตู เธอก็พาร่างขาวนวลอวบสูงผ่านหน้าผมไป ทันใดนั้นท่อนเอ็นของ ผมก็ผยองผงาดขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงรีบตามเธอเข้าไป ผมได้จังหวะจึงดันตัวคุณหนูให้โก้งโคัง ยันมือไว้กับฝาผนังแล้วพลาง ร้องขอความเมตตา ว่าลุงอาจอย่าทำหนูอีกเลย แต่ความใคร่ในตัวของกระผมยังคงไม่หมดไปง่ายๆ ผมไม่รีรอที่จะยัดเยียด ความใคร่ของกระผมให้เธออีกครั้ง ขณะที่คุณหนูหันหลังโก้งโค้ง ผมก็ใช้ท่อนยัดเข้าไปในกลีบสวรรค์ ที่ยังชุมไปด้วยน้ำ รักที่ผมมอบให้กับเธอ "โอ๊ย..อู๊ยยย์.. นิดเดียวน่า" ผมบอกกับเธอ คุณหนูถึงกับสะดุ้งสุดตัวแล้วร้องเสียงหลง ผมยังคงเร่ง กระแทกกลีบของเธออย่างเมามัน และก็แรงขึ้นเรื่อยๆ ซ้ายทีขวาที จนตัวคุณหนูแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับผมอยู่สักพักใหญ่

        และแล้วผมก็ดึงเอ็นท่อนที่ชุ่มโชกน้ำสวาทออกมา แล้วจับตัวคุณหนูหันหน้ากลับมา ผมจับตัวคุณหนูนั่งลง แล้วจับท่อนเนื้อ อันแข็งเกร็งที่พร้อมจะพ่นน้ำ อัดเข้ากับปากของคุณหนู แล้วผมก็บรรเลงลีลากระแทกจนคับปากอย่างต่อเนื่องอย่างไม่ยั้ง จนคุณหนูหายใจแทบไม่ทัน และแล้วนาทีแห่งความสำเร็จก็มาถึง ผมได้ยินเสียงน้ำพุ่งกระฉูดเข้าไปในลำคอ ผมยังคงแช่คา ปากคุณหนูพร้อมกับรูดเข้ารูดออก แล้วบอกกับเธอว่าดูดให้หมดนะ จังหวะนั้นผมเสียวจนยากที่จะบรรยายได้ หลังจากนั้น ผมก็บอกให้คุณหนูแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วจะพากลับไปส่งบ้าน คุณหนูก็ทำตามทั้งที่ยังมีคราบน้ำรักติดอยู่ที่ขอบปาก และกำชับคุณหนูว่าห้ามบอกใครเด็ดขาด มันเกี่ยวกับเรื่องชื่อเสียงของคุณหนูและวงศ์ตระกูล คืนนั้นหลังจากคุณหนูกลับไป บ้านประมาณตี 3 กว่า ผมเลี้ยวรถเข้าไปเห็นไฟปิดหมด ผมจึงรู้ว่าทุกคนหลับหมดจริงๆ ก่อนลงจากรถผมยังย้ำกำชับ คุณหนูอีกที หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ผมก็มักจะบังคับขืนใจคุณหนูโดยพาเข้าโรงแรมม่านรูด อาทิตย์ละ 3 ถึง 4 ครั้ง ผมยอมรับว่าผมเป็นคนขับรถที่โชคดีมากๆ คนหนึ่ง


สุโค่ยเรื่องเสียวจอมไสยสาว ภาคพิเศษ อาจอง ตอนที่ 2 (จบ)





ข้ารอเวลา 7 วันด้วยใจระทึกและกระวนกระวาย
...
...
ในที่สุดวันเวลาสำคัญก็มาถึง
คืนที่ 6 ข้าแต่งกายด้วยชุดดำสนิทลักลอบออกจากวังไปที่บ้านอาจารย์บานอง
คนสนิทของข้าได้เตรียมม้าเอาไว้ให้เรียบร้อย
ไม่นานเราทั้ง 3 คนก็ควบม้าออกจากเมืองไปยังบ้านอาจารย์บานอง

....ก๊อก ๆ ๆ.....
"มากันแล้วเหรอ..."
"ใช่อาจารย์..ข้าเอง..."
"ขึ้นมา..."

ข้าให้คนสนิทของข้าทั้งเตรียมอาวุธพร้อมมือ..เฝ้าอยู่ใต้ถุนบ้านของอาจารย์บานอง
ส่วนตัวข้ารีบขึ้นบันไดแล้วเปิดประตูเข้าไปภายในบ้าน
อาจารย์บานองนุ่งขาวห่มขาวนั่งอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชาที่มีเทวรูปต่าง ๆ จำนวนมากมาย
ข้าเดินเข่าเข้าไปหาแล้วพูดว่า
"ทำพิธีได้เลย..ท่านอาจารย์"
อาจารย์บานองหัวเราะร่าก่อนพูดว่า
"องค์ชาย..พิธีนี้เรียกว่า..แปลงรูปถอดร่าง.."
ข้าพยักหน้า
"งั้นเริ่มเลยนะองค์ชาย...องค์ชายเอาชุดของพระเชษฐามาสวมได้เลย"

ข้าหยิบเอาชุดที่ได้ขโมยเอาไว้ก่อนออกมาแล้วเดินไปเปลี่ยนชุดทันที
ชุดของข้าแตกต่างจากชุดของพี่สัญชัยตรงที่ปลายแขนมีปีกสีทองยื่นออกมาเป็นการแสดงยศเท่านั้น
เมื่อสวมชุดของพี่สัญชัยเรียบร้อย ข้ารีบเข้าไปนั่งขัดสมาธิตรงหน้าอาจารย์บานอง
สำหรับขาบริกรรมอาคมที่ได้รับการถ่ายทอดมาให้

ถ้าไม่ใช่การกำชับอย่างหนักแน่นว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามลืมตาเด็ดขาด
ข้าคงทนไม่ได้ เพราะความรู้สึกในตัวเหมือนมีเปลวไฟวิ่งวนไปทั่วร่าง
มันร้อนมากจนเหมือนว่ากระดูกของข้าจะแตกทำลาย
แต่จะยังไงก็ตามข้าก็ยังอดทนหลับตาบริกรรมอาคมไปเรื่อย ๆ

จากความร้อนรุ่มกลายเป็นความเย็นซ่า แล้วก็หนาวเหน็บ
ข้าสั่นสะท้านไปทั้งร่างอย่างไม่อาจข่มกลั้นเอาไว้ได้
ร่างของข้ากระตุกจนลอยขึ้นสูงจากพื้นห้อง
แต่จะยังไงก็ตามข้าก็ยังหลับตาบริกรรมอาคมไม่หยุด
แต่จะยิ่งกลายเป็นบริกรรมถี่เร็วขึ้นอย่างไม่หายใจหายคอ

เสียงบริกรรมของอาจารย์บานองค่อย ๆ แผ่วเบาลงจนหายไป
ตัวข้าเองก็หยุดบริกรรมเหมือนกัน
แต่ก็ยังหลับตานิ่ง

"องค์ชาย..ลืมตาได้แล้ว..."
ข้ารีบลืมตาขึ้น ตอนแรกก็เบลอ ๆ
ข้ามองไปรอบ ๆ ห้องทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรที่แปลกแตกต่างออกไป

"มีอะไรหรืออาจารย์บานอง..."
ข้าถามอย่างสงสัย
"ตอนนี้องค์ชายก็คือพระเชษฐาสัญชัยแล้วละ..."
แม้ข้าจะรู้มาก่อนแต่ก็อดหวั่นไหวในใจไม่ได้
อาจารย์บานองเอาแผ่นทองเหลืองที่ถูกขัดจนขึ้นเงาส่งให้ข้า

"ดูเสียซิ...องค์ชาย..."
อาจารย์บานองหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ปกติใบหน้าข้าก็มีแววประพิมประพายคล้ายกับพี่สัญชัยอยู่แล้ว
แต่ภาพที่ข้าเห็นในเงาสะท้อนของแผ่นทองเหลือง
นี่ไม่ใช่ข้า..เพราะข้าย่อมรู้ความแตกต่างระหว่างเราได้ดี
แต่ที่ข้าเห็นนี่...เป็นรูปลักษณ์ของพี่สัญชัย..แน่นอน...

"อะ..อา...อา...ฮา...ฮา....."
ข้าหัวเราะด้วยความสะใจ
"อาจารย์..ขอบคุณอาจารย์เหลือเกิน..."
ข้าก้มลงกราบอาจารย์บานองด้วยความสำนึกบุญคุณเปี่ยมล้น

"องค์ชายต้องระมัดระวังเรื่องการพูด..."
"อึม..ข้าเตรียมซ้อม ๆ เอาไว้แล้วท่านอาจารย์..."
"อีกอย่าง..องค์ชายต้องระวังให้มากคือ เมื่อไหร่ที่แม่นางมนตราแยกออก
ว่าท่านไม่ใช่องค์ชายสัญชัย ท่านจะคืนร่างเดิม..."
"ข้าเหมือน..ขนาดนี้...นางไม่มีทางแยกออกหรอกอาจารย์ อย่าห่วงเลย..."


แผนการณ์ของข้าเริ่มต้นขึ้น

เช้าวันใหม่............
ข้าแสร้งว่าเดินทางด้วยความอ่อนระโหยเนื่องจากกรากกรำในการตามหาแก้วพญานาค
พอเข้าประตูเมืองมารีบบอกให้ทหารที่รักษาเมืองให้พาเข้าเฝ้าเสด็จแม่ทันที

"เสด็จแม่...ลูก ๆ พยายามเต็มความสามารถแล้ว"
"โอ๋...ลูกลำบากเสียเหลือเกิน..."
"ลูกได้แก้วพญานาคแล้วพระเจ้าข้า.."
ข้าล้วงมือเข้าไปในอกหยิบเอาลูกแก้วที่ข้าได้มาก่อนส่งให้เสด็จแม่

เสด็จแม่ยื่นมารับด้วยความตื่นเต้น
"โอ่...นี่เหรอ..นี่...แก้วพญานาค..."
ข้าพยักหน้าแล้วพูด
"ใช่แล้วเสด็จแม่ ลูกลงไปงมที่ก้นแม่น้ำโขง ลึกมากเหลือเกิน คนที่ลูกพาไปด้วยตายกันหมดเลย"
"เหรอ...โชคดีมากเลยที่ลูกปลอดภัย..."
"แก้วนี่ค่าควรเมืองจริง ๆ ใสสว่างและกระจายแสงเป็นสีรุ้งไปทั่วห้องเลย...สวยจริง ๆ"
"ของมีค่า..ย่อมเหมาะสมกับเบญจกัลยาณีพระเจ้าข้า"
"ใช่...แม่ให้ท่านโหราจารย์กำหนดฤกษ์เมื่อจะได้ทำพิธีหมั้นและแต่งงานให้กับเจ้าเลย"

....................

อีก 7 วันถัดมา
พิธีอภิเสกสมรสระหว่าง เจ้าชายสัญชัย กับ แม่นางมนตรา ธิดาของอัครมหาเสนาบดีคลังก็เริ่มขึ้น
เป็นที่แซ่ซ้องกันไปทั่วทั้งแผ่นดินถึงความเหมาะสมของทั้งสอง

ข้าที่สวมรอยในฐานะของพระเชษฐา
ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะรู้ว่าคนที่ยืนอยู่นี่ไม่ใช่ตัวจริง
ไม่รู้แม้แต่แม่นางมนตรา...
จะมีอะไรที่น่ากระหยิ่มใจไปมากกว่านี้อีกละหรือ

ราชพิธีจะต้องสมบูรณ์ตามโบราณกาล
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ข้ากับอาจารย์บางนองได้วางไว้
ประชาชนทั่วทุกสารทิศแซ่ซร้องสรรเสริญ
มองไปทางไหนก็มีแต่ธงทิวที่มีเครื่องหมายราชวงศ์ปักไว้ตรงกลางพลิ้วสบัด

ฮะ..ฮะ...ฮา....คืนนี้แล้วซินะ..ฮะ..ฮา...คืนที่ข้าจะได้สมหวัง
ข้าลิงโลกยินดีเป็นเท่าทวีคูณ
ราชพิธีสำหรับการส่งตัวเข้าหอจะเป็นอย่างไรข้าไม่สนใจ
ตัวข้าถูกเก็บตัวเอาไว้ในห้องอีกห้องหนึ่ง
จนกระทั้งได้เวลาตามฤกษ์ที่ท่านโหราจารย์กำหนด
ข้าถูกนำตัวไปส่งให้กับเจ้าสาว
แต่ละก้าวที่ข้าเดินหัวใจของข้าเต้น ตึ๊ก ตั๊ก ๆ จนแทบกระดอนออกจากอก
ข้ากำหมัดแน่นเพื่อปิดบังความตื่นเต้น
กลางฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ

บานประตูที่เป็นสีแดงมีลายเถาวัลย์สลักเป็นสีทองสุกสะกาวล้อแสงไฟ
พราหม์เจ้าพิธีเปิดประตูช้า ๆ เสียงเอี๊ยดของการเสียดสีเนื้อไม้แว่วเข้าโสตประสาทข้า
พราหม์จะพูดจะกล่าวอะไรข้าได้ยินเสียงแผ่วเบาเหมือนลอยมาจากที่ห่างไกล

เมื่อจบพิธีการต่าง ๆ ท่านพราหม์ได้จูงมือข้าพาเดินเข้ามาในห้องที่มีผ้าม่านสีแดงเพลิงขวางอยู่
แล้วพราหม์ก็กล่าวขึ้นว่า
"เทพ พรหม ฟ้าและดินต่างก็เป็นสักขีพยานของการอภิเสกสมรสของเจ้าชายแล้วพยาคะ"
"โอม..."
เสียงสรรเสริญก้องสะท้อนไปทั่ว จากนั้นพราหม์ก็ผายมือให้ข้าเดินผ่านผ้าม่านนั้นเข้าไป

ข้ายอมรับว่าข้าสั่นไปหมด
แต่ละก้าวที่ก้าวออกไปเหมือนโลกทั้งโลกจะหยุดหมุน
ก้าวไปได้เพียงสามก้าวข้าก็ได้ยินเสียงปิดประตูแล้วลงสลักดาน
ข้าเดินไปยังผ้าม่านขั้นที่สองที่เป็นสีเขียวอ่อน
ยื่นมือสั่นจนเกินควบคุมไปแหวกผ้าม่านช้า ๆ

หญิงงามที่สุดในชุดสีเขียวอ่อนนั่งอยู่หน้าโต๊ะที่มีกระจกเงาทองเหลืองบานใหญ่
ข้าเห็นเงาวงหน้าที่สะท้อนผ่านมาให้เห็นว่านางก้มหน้าลงปิดเปลืองตานิ่ง
เพียงเท่านั้นเองก็สุดที่อดกลั้น
รีบเดินไปยืนอยู่เบื้องหลังนาง

"มนตรา...ของพี่...."
ข้าไม่สนใจหรอกว่าพี่สัญชัยจะเรียกนางว่าอะไร
นางยังก้มหน้านิ่ง
ข้าเลยโน้มตัวลงหอมเรือนผมที่ยังมีมงกุฏครอบอยู่
"ช่างหอมเหลือเกิน...มนตรา..."
ข้ารำพึงรำพันอย่างเกินที่จะอดกลั้นเอาไว้ได้

นางก็ยังนั่งนิ่งเหมือนเดิม
ข้าค่อย ๆ แกะมงกุฎที่อยู่บนเรือนผมเธอออก
มนตรายื่นมือมารับจากมือข้าแล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะ
ข้าบรรจงถอดเครื่องประดับนา ๆ ที่อยู่บนเรือนผมและใบหน้านางออกทีละชิ้น ๆ กจนหมด

"มนตรา...ๆ ๆ"
ข้ารำพึงปานละเมอ....
นางยังสงบนิ่ง..ดูเหมือนนางจะควบคุมตัวเองได้มากกว่าข้าเสียอีก

ข้ายื่นมือจับไหล่ของนางแล้วดึงให้ลุกขึ้น
มนตราลุกขึ้นยืนแล้วหันหน้ามาหาข้าอย่างช้า ๆ
ข้าก้มหน้าลงจุมพิตที่พวงแก้มอิ่มสีชมพูระเรือ
จากพวงแก้มก็ไล่ลงมาเรื่อย ๆ จนพบกับริมฝีปากงาม
ข้าปะกบจูบริมฝีปากนิ่งและนาน

ข้า..รู้แล้ว..ภาพฉากนี้เองที่ไปอยู่ในนิมิตรของวิสาระในขณะที่ข้าพยายามที่จะเข้าสู่ความฝันของเธอ
แต่ข้าไม่ต้องการให้วิสาระเห็นใบหน้าของข้า จึงใช้มิติอำพรางเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
ขณะที่ข้าเองกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับฝันหวานที่ข้าสร้างให้แก่นางนั้น
เจตสิกเหล็กไหลของเธอก็พุ่งจู่โจมจนข้าต้องถอยร่นออกจากบ้านนั้น

............. 
ข้าค่อย ๆ ปลดผืนผ้าที่ร้อยรัดอยู่ตรงด้านหลังของเธอออก
พยายาม..พยามทำให้ช้าและแผ่วเบาที่สุดเพื่อไม่ให้นางแตกตื่น
มนตราถูกข้าจูบแล้วจูบเล่าจนอ่อนระทวยยืนโงนเงนไปมา
ข้าปลดส่วนที่เป็นเสื้อไหมของเธอออกไปจนได้

ตอนนี้ข้ากำลังยื่นมือไปผ้าที่ใช้รัดทรวงอกของเธอ
ค่อย ๆ คลี่ออกทีละรอบ ๆ เป็นชัน ๆ

ในที่สุด...มนตราก็ยืนเปลือยอกอยู่ในอ้อมกอดของข้า
เธอโถมตัวลงซบกับอกผายเหมือนขอพักพิง
แล้วก้เหมือนกับนกน้อยที่หนาวสะท้านซุกปีกแม่
ข้าสอดมือลงไปรัดสะโพกของนางแล้วยกขึ้นมา
แล้วพาเดินไปยังเตียงที่อยู่ด้านข้าง

เตียงที่มีเสาไม้สักกลึงแกะสลักลวดลายเถาวัลย์อ่อนช้อย
แต่สายตาของข้านะหรือ
ไม่มีไว้สำหรับเชยชมสิ่งเหล่านั้นหรอก

ไม่ว่าจะเป็นผนังห้องที่เป็นลูกฟักของไม้สักทองเนื้อดี
ผ้าม่านที่พริ้วไหวปักลายดอกไม้
ที่นอนอ่อนนุ่มที่ปูไว้ด้วยผ้าทอเนื้อละเอียดลงดิ้นทอง

ในโลกใบนี้จะมีอะไรที่น่าสนใจ
น่าชื่นชมเท่ากับมนตราอีกหรือ
....ไม่มีเสียหรอก...

ข้าวางนางให้นั่งลงที่ขอบเตียง
มนตรา..หายใจกระชั้น..
ข้าคุกเข่าลงตรงหน้านาง
ทรวงอกอวบอูมอยู่ตรงหน้าของข้า

ข้าไม่ใช่ไม่เคยสัมผัสหญิงงาม
แต่ข้าไม่รู้สึกว่าบรรดาที่ข้าเจอมาจะงามเท่าครึ่งเดียวของมนตราก็ไม่มี
บัวตูมคู่งามของนางชูยอดเกสรเล็กกว่าปลายก้อยสีชมพูหวาน
ข้ารู้สึกว่าหวาน...จนข้าเกินจะห้ามใจ

จากที่คิดว่าจะค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ข้าก้าวข้ามขั้นไปจนได้
ข้าอ้าปากออกประกบดูดเกสรบัวตูมทันที

โอววว...มนตรา...ช่างหอมหวานเสียเกิน..

ข้าดูดเม้มจนร่างนั้นกระตุกแล้วห่อไหล่เหมือนจะซ่อนเกสรจากแมลงเช่นข้า
แต่ไม่มีวันเสียละ...
ไม่มีทางที่เธอจะเอาเกสรของเธอหลบไปไหนได้
ข้าบรรจงดูดซ้ายดูดขวาอย่างกระหาย
เสียงขบฟันของมนตราทำให้ข้ารับรู้ได้ว่า เธอซ่านสยิวเพียงใด

ข้าเลยเรียกสติให้กลับคืนมา
ต้องแผ่วเบา..นุ่มนวล..อ่อนหวาน..อ่อนโยน...
ก็ด้วยรัก...ด้วยหัวใจของข้า..และของนาง

ข้าใช้จมูกและริมฝีปากสูดกลิ่นกายที่แสนหอมของนางไปทั่วบัวงาม
ไล่มาที่กลางร่องอก แล้วก็ลากจมูกไล่ลงมาที่หน้าท้อง
มนตราตัวงอลงไปอีก แต่เธอก็ไม่ได้ผลักหน้าข้าออก
มือทั้งสองของเธอบีบและจิกไหล่ของข้าเอาไว้แน่น

ข้าจึงเงยหน้าขึ้นแล้วงับดูดเกสรบัวตูมของเธออีกครั้ง
ดูดเน้น ๆ แรง ๆ จนมีเสียงดัง "จ๊วบ ๆ"
มนตราถึงกับแอ่นกายผวาเฮือกแล้วปล่อยตัวทิ้งลงกับที่นอนนุ่ม

ข้าไม่ปล่อยจังหวะให้เว้นช่วงหรอก
รีบตามไปรุกไล่ที่หลุมสะดือของนางที่กลมได้รูป
ใช้ปลายจมูกขยี้ลงไปที่หลุมสะดือ
มนตราจั๊กจี้จนต้องยักย้ายส่ายสะโพก

ข้าเงยหน้าขึ้นแล้วจัดการปลดแถบผ้าที่ใช้รัดเอวของเธอออก
ใบหน้าของมนตรานวลงามเปร่งปรั่งภายใต้แสงเทียนในห้องหอ

ข้าเองก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว ยื่นมือออกไปช้า ๆ เพื่อกระคลีผ้านุ่งของเธอ
หน้าท้องที่ขาวผ่องนั่นแบนราบ
ข้าเลื่อนผ้าลงมาเรื่อย ๆ จนข้าเห็นผ้าเตี่ยวที่ขาวอยู่อีกชั้น

ข้าถอนหายใจออกมาก่อนที่จะปลดปมผ้าเตี่ยวออก
ผ้าผืนเดียวที่ต้องศิลปะในการรัดและพัน
ก่อนที่จะดึงเอาผ้าเตียวออกจากร่างมนตรา
ข้าต้องถอดผ้าถุงของเธอออกจากปลายเท้าก่อน
แล้วค่อย ๆ จัดการผ้าเตี่ยวของเธอเป็นชิ้นสุดท้าย

............................

ในที่สุด...ในที่สุด...
ร่างขาวโพลนกลางแสงเทียนที่วูบไหววอมแวม
ข้าตลึงกับร่างงาม..จนลมหายใจที่อั้นเอาไว้แทบขาดห้วง

ข้าระบายลมออกมาจนมีเสียงดัง
มนตรายกมือของเธอขึ้นมาปิดบัวงาม

ข้าไม่ว่าอะไร
เนินโหนกของเธอปรากฎแก่สายตาของข้าแล้ว
กลุ่มไหมหย่อมน้อยที่ปกปิดกลีบเนินทั้งสองมันช่างตัดกับความขาวเสียเหลือเกิน
ข้ากลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากยากเย็นเหมือนกลืนก้อนหิน

การสูดลมหายใจก็กระตุกเป็นห้วง ๆ
ใจนะเต้นตูมตามยิ่งกว่าเสียงกลอง

แม้ยามนี้มนตราจะบีบขาเอาไว้แน่นก็ตาม
แต่กลีบแคมของเธอก็นูนเด่นโขว์ความอวบอูมที่ไม่อาจบดบังไปได้
ช่างสวยงามเสียเหลือเกิน...มนตรา...มนตรา...

ข้าโน้มตัวลงซบหน้าลงกับเนินของเธออย่างไม่อาจข่มความอยากเอาไว้ได้อีก
รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส นั่นคล้องใจสัตว์โลกเอาไว้ก็ด้วยเหตุนี้เอง
การสัมผัสด้วยประสาททั้งห้าของข้ากับมนตราก็ร้อยรัดใจข้าให้ไม่อาจถอดถอนออกไปได้
ข้าจูบแล้วจูบเล่าอย่างไม่รู้หน่ายรู้แหนง
จูบจนมนตราครางเสียงแผ่ว ๆ ออกมาจากริมฝีปาก
มือเธอที่ตอนแรกพยายามดันหน้าข้าออกตอนนี้กลับกดไปกับเนินเธอแน่น

ข้าเงยหน้าขึ้นแล้วโน้มตัวลงไปดูดเกสรบัวตูมของเธออีกครั้ง
ดูดเน้นแรง ๆ จนมนตราสั่นสะท้าน

ข้าไล่ลงมาที่เนินโหนกของเธอ
แต่ครั้งนี้ข้าใช้มือจับขาทั้งสองของเธอแยกออก
แล้วซุกหน้าลงไปสัมผัสกลางลำธารของเนินเต็มหน้า

มนตราร้อง "โอ๊ะ..." เหมือนตกใจแต่ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
ข้าทำเช่นนี้กับมนตราเป็นคนแรกในชีวิต
ซึ่งในสมัยนั้นของข้าใครจะทำหรือไม่ข้าไม่รู้
แต่ข้าอยากทำเช่นนี้กับมนตรา
ทำกับมนตราคนเดียวเท่านั้น
ข้าจะไม่ยอมทำให้กับคนอื่นเป็นอัดขาด

นอกจากลิ่น ข้าก็อยากจะชิมรสของมนตราเหมือนกัน
ลิ้นข้าก็ซอกซอนเข้าในหลืบมุมเร้นลับของมนตราทันที
มนตราสะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก

เสียง "อี๊ดดดซซซ...อ๊าดดดดซซซ" ออกจากปากของเธอเป็นระยะ ๆ
โอวววว...มนตรา..เสียงนี้มันช่างไพเราะเสียเหลือเกิน
เป็นเสียงที่ไพเราะกว่าเสียงเพลงใดที่ข้าเคยได้ยินมาก่อน

ใบหน้าที่สัมผัสกับกลืบเนินฉ่ำเยิ้ม
มันช่างน่ากระหยิ่มใจเสียนี่กะไร
หยาดน้ำทิพย์ที่สนองตอบต่อรักของข้ารินหลั่งออกอย่างเปี่ยมล้น

โลกนี้...มีอะไรที่ดีกว่ารสรักอีกหรือ...
โลกนี้...มีอะไรที่อิ่มเอมกว่ารักอีกหรือ
ข้าไม่เชื่อหรอกหากใครบอกว่ามี

ขาทั้งสองของมนตรากางออกเต็มที่
ใบหน้าเธอแดงก่ำเชิดห่อปาก..ครวญเพลงรัก..ให้แก่ข้าอย่างสุดหัวใจ
ข้าดื่มด่ำกับการบรรเลงเพลงรักที่บรรดาลออกมาจากใจที่แท้จริง
ไม่นานข้าก็เปลือยเปล่า

ปฏิบัติการหลังจากนั้นก็เป็นไปโดยธรรมชาติ
การสอดใส่ที่แสนอบอุ่น นุ่มนวล ทนุถนอม
ครั้งแล้วครั้งเล่า...ที่ข้าเสนอสนองให้กับมนตราจนเธออิ่มพอ

แต่สำหรับข้า..ไม่เคยพอ
คืนนั้นทั้งคืน...ข้าไม่หลับไม่นอน
แม้มนตราจะหลับไหลไปด้วยความอ่อนเพลีย
แต่ข้าไม่หลับ...ดวงตาของข้าเบิกโพลง
สายตาของข้าไม่เคยห่างจากร่างของมนตราแม้เสียววินาที

.............

ย้อนรำลึกถึงวันนั้น...ข้าช่างอิ่มเอมเสียเหลือเกิน
แล้วนี่แหละคือเชื้อ..ที่หล่อเลี้ยงดวงจิตของข้าไปชั่วนิรันดร
ไม่ว่าข้าจะต้องทนทุกข์ทรมาณสักเท่าไหร่ก็ตาม
ถึงจะอยู่กลางไฟประลัยกัลป์ข้าก็ไม่เคยหวั่น

ข้ามีความสุขสรรหรรษากับมนตราอยู่ถึง 45 วัน
แต่ก็ไม่รู้เป็นไง...
ในใจข้าลึก ๆ กลับรู้สึกว่ามนตราเหมือนไม่ได้เปิดใจให้ข้าเต็มที่เยี่ยงสามีภรรยา
แรก ๆ ข้าก็คิดไปว่าอาจจะเป็นความหวาดระแวงของข้าเอง
นางไม่มีทางได้รู้เด็ดขาดว่าข้าไม่ใช่สัญชัย

แล้วอีกอย่าง...
ข้าส่งคนของข้าไปจัดการกับเจ้าพี่สัญชัยเรียบร้อยแล้ว
เจ้าพี่จะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกตลอดกาล
นางไม่มีทางที่รู้โดยเด็ดขาด

ข้าสวมรอยเสด็จพี่สัญชัยโดยไม่มีใครสงสัย
ไม่สงสัยแม้แต่เสด็จแม่
ข้าช่างมีความสุยเสียเหลือเกิน
ไม่มีเจ้าพี่เสียคนเดียว...โลกทั้งโลกก็เป็นของข้า
ไปทางไหนก็มีแต่คนแซ่ซร้องสรรเสริญ

****************

แล้ววันหายนะของข้าก็มาถึง
ทหารยามได้นำตัวชายคนหนึ่งเข้ามาในวัง
ข้าได้รับรายงานก็เมื่อสายไปเสียแล้ว

ในที่สุดความลับของข้าก็เปิดเผย
ด้วยเวลาแสนสั้นเหลือเกิน
แค่เพียง 45 วันเท่านั้นเอง
ฝันสุขฝันดีสำหรับข้าก็มีอันจบสิ้น..แค่นั้นเอง
ข้าถูกเสด็จพ่อส่งทหารมาจับตัว

แล้วในที่สุดมนตราก็รู้ความจริง
ผลของความจริงที่นางไม่อาจยอมรับได้

ในที่สุดมนตรา....ก็ฆ่าตัวตาย

เสด็จพี่มาในสภาพยับเยินใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผล
มีพรานป่าคนหนึ่งเดินผ่านมาและช่วยเอาไว้ได้
เสด็จพี่กลับมาด้วยความแค้น
คนสนิทของข้าถูกจับประหารชีวิตทั้งหมด
แม้แต่อาจารย์บานองก็ไม่เว้น

ตัวข้าถูกขังอยู่ในคุกถึง 3 ปีแล้วถูกเนรเทศให้ไปอยู่ในแดนกันดาน
แต่ข้าก็ยังไม่สำนึกผิดใน
ใจเต็มไปด้วยความอาฆาตและความอาลัยในตัวมนตรา

ในแดนป่าข้าไปพบกับหมอผีสำคัญคนหนึ่ง
ข้าฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชาเพื่ออยากกลับมาแก้แค้น

แต่ข้า..ก็ไม่มีโอกาส.............

สิ่งหล่อเลี้ยงดวงจิตข้าก็มีเพียงความสุขในเวลา 45 วันจากมนตรา

ในที่สุดข้าก็ตายลงด้วยไข้ป่า
นิมิตรก่อนข้าจะตายเหมือนกับข้านั่งรอใครสักคนอยู่บนแก้วพญานาค

ก่อนตายข้าได้รวบรวมพลังจิตทั้งหมดให้ตั้งมั่น
แล้วตั้งสัตยาธิษฐานขอติดตามเพื่อรักและแค้นกับสัญชัยและมนตราไปทุกชาติ
ข้าท่องคำอธิษฐานนั้นไปเรื่อย ๆ จนวิญญาณออกจากร่าง..จบภพชาติ

--------------------

หลังจากนั้นข้าก็ต้องเข้าไปสู่สถานจองจำ...อยู่นานเท่านาน

--------------------

วันเวลาผ่านไป..ผ่านไป...นานเท่าไหร่กันหนอ
ความทุกข์ทรมาณที่เกิดกับดวงจิตของข้าช้าชินจนเหมือนอยู่ในภาวะปกติ
สลบแล้วก็ฟื้นตื่นขึ้นมา แล้วก็สลบไปอีก
ในแดนจองจำนี้ไม่มีคำว่าตาย

วันเวลา...ก็ผ่านไปตามวัฏจักร

ข้าผวาตื่นขึ้นมา
มองไปรอบ ๆ ที่แปลกแตกต่างจากแดนจองจำที่เคยอยู่
แล้วข้าก็ต้องสะดุ้งจนร้องลั่น
สภาพข้าตอนนี้เป็นท่อนยาวนับวา

อะไร...อะไรเกิดกับข้า
เสียงร้องของข้าทำให้มีคนเข้ามาหาจำนวนมากมาย
ปะวรรค...ปะวรรค...ลูกแม่
เอ...ใคร...ใครกัน...ปะวรรค...

ข้าก้มลงมองร่างของตัวเองอย่างตื่นตระหนก
ร่างงูของข้าเป็นสีเขียวเหลือบมลังมะเลือง
"ปะวรรค..ลูกพ่อ..."
ชายคนหนึ่งที่มีจงอยผมสูงที่กลางหัวเรียก

ปะวรรค...คือข้าเองละหรือ
แล้วผู้หญิงคนนั้นก็คือแม่ข้าละสิ
ชายคนนั้นก็คือพ่อของข้า
แต่ทุกคนไม่เหมือนข้า...
นางผู้ซึ่งเป็นแม่เข้ามาปลอบประโลมเพื่อให้ข้าคลายความตื่นตระหนก

..........

ในที่สุดข้าก็ได้รับรู้ความจริงว่า
ข้าคือ "วปะรรคนาคา" เป็นทายาทของเผ่าพันธุ์ของพญานาคตระกูลเอราปถ
เป็นพญานาคตระกูลสีเขียว เป็นหนึ่งในสี่ของตระกูลนาค
ข้าเป็นลูกชายคนที่สอง ข้ามีพี่ชื่อ วรรคปะ
เราเติบโตมาด้วยกันข้ารักและเคารพพี่วรรคปะมาก

แล้วเหตุการณ์แปรผันก็เกิดขึ้น
วันหนึ่งขณะที่แผ่นโผนโจนทยานเล่นน้ำอยู่กลางลำน้ำโขง
ข้าได้พบกับนางนาคสาวแสนงามนางหนึ่ง
นางเป็นนาคตระกูลฉัพพยาปุตตะ ที่มีผิวกายสีรุ้งเจิดจ้า
ข้าได้หยอกล้อกับนางที่มากด้วยฤทธิ์อย่างสนุกสนาน
แม้นางจะไม่สนุกกับข้าสักเท่าไหร่ก็ตาม

หลังจากวันนั้นข้าก็เฝ้าแต่ฝันถึงคิดถึงนางนาคตระกูลฉัพพยาปุตตะ
จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
ข้าไปดักรอนางเท่าไหร่ก็ไม่เจอ

แต่แล้ว...
พี่วรรคปะได้พาสาวงามร่างระหงนางหนึ่งมาพบกับท่านพ่อโดยแนะนำว่า
"พ่อ..นี่มนตรานาคา เธอเป็นนาคตระกูลฉัพพยาปุตตะ"

เธอนั่นเอง...เธอนั่นเอง
ข้ารำพึงรำพันอยู่ในใจด้วยความเจ็บปวด
เธอคือนางนาคคนที่ข้าพบกลางแม่น้ำโขงตนนั้นนั่นเอง
แม้ในขณะนี้จะมาในร่างของมนุษย์ก็ตาม
แต่ในกลุ่มนาคผู้ทรงฤทธิ์จะทราบร่างเดิมกันได้เป็นอย่างดี

พอเธอเห็นข้าก็จำข้าได้เหมือนกัน
นางเบิกตาโตแล้วสบัดหน้าหนีเหมือนไม่อยากรู้จัก
แต่ข้ารีบเข้าไปหานางแล้วพูดว่า
"แม่นาง..จำข้าได้หรือเปล่า..."
นางนิ่งเฉยไม่ตอบคำของข้า

พี่วรรคปะเรียกข้าขึ้น
"ปะวรรค...นี่มนตราคนรักของพี่..."
ในใจของข้าเหมือนกับถูกเขี้ยวนาคขย้ำ
มันเจ็บปวดเสียเหลือเกิน

สายตาของข้าที่มองพี่วรรคปะเริ่มเปลี่ยนไป
----------------

จากนั้นการจองเวรของข้าก็เริ่มต้น
ข้าเริ่มเสาะหาครูอาจารย์เก่งเพื่อร่ำเรียนวิชา
คนแล้วคนเล่า...ไม่รู้จบไม่รู้พอ

เพื่ออะไรหรือ...ตอนนั้นข้าเองก็ไม่รู้
ข้าเพียงสนองแรงกระตุ้นที่รุนแรงเหลือเกินที่ออกมาจากความแค้นในอดีตเท่านั้นเอง

จนในที่สุดข้าได้พบกับอาจารย์คนหนึ่ง
ข้าเรียกท่านว่า "ท่านครู" เท่านเอง
ท่านครูถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ มากมาย
แล้ววิชาหนึ่งที่ตรงใจข้าก็คือวิชาสร้าง "หินพญานาค"

ด้วยความมุมานะทุ่มเทด้วยชีวิตจิตใจ
ข้าก็ได้เป็นผู้สืบวิชาของท่านครูอย่างสมบูรณ์

เมื่อกลับมายังที่พัก
ข้าก็เริ่มบำเพ็ญจิตเพื่อให้มีกำลังสูงสุด
วัตถุประสงค์ก็เพื่อสร้างหินพญานาค
ที่เรียกว่าหินนั้นความจริงไม่ใช่หิน
แต่เป็นน้ำดีที่กลั่นออกจากตัวของผู้สร้างนั่นเอง

การสร้างจึงเหน็ดเหนื่อยและลำบาก
เมื่อสำเร็จแล้วหินพญานาคก็คือกล่องที่อยู่เหนือกาลเวลา
ภายในจะเก็บหยดพิษที่ได้มาจากเขี้ยวของตัวข้าเอง
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพลังจิตที่กำกับ
หรือก็คือการอธิษฐานจิต
หรืออาจเรียกว่าสาบก็ได้
สาบว่าจะให้พิษนั่นทำงานอย่างไรให้ได้ดังใจปรารถนา

หลังจากนั้นอีก 7 วัน
หินพญานาคของข้าก็สำเร็จ
เป็นแท่งสีดำสนิทมะลังมะเลือง ตรงกลางมีร่องขีดยาว
ตรงกลางร่องจะมีรูเล็ก ๆ เท่าปลายเข็มอยู่หนึ่งรู แทบมองไม่เห็น
ข้าจ้องมองด้วยความกระหยิ่ม
จากนั้นก็ข้าก็สลบไปทันที

ผ่านไปคงจะหลายวัน
ข้าฟื้นขึ้นมาจากความเหนื่อยและอ่อนเพลีย
รีบซ่อนหินพญานาคไว้ในที่มิดชิดแล้วกำกับด้วยอาคมบังตา
แล้วข้าก็ลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซออกมา

.........

วันเวลาผ่านเลยไป
หินพญานาคของข้าก็คือของขวัญวันแต่งงาน
ข้าเป็นคนเอาไปมอบให้และวางเอาไว้ในห้องหอ

วันสงตัวเข้าห้องหอ
หลังจากทั้งสองเสพสมอารมณ์หมาย...ก็นอนกอดกันตาย

เหตุการณ์นี้โจษจรรกันไปบ้านทั่วเมือง
บ้างก็ว่าอาถรรพ์
บ้างก็ว่าผิดผี
ต่าง ๆ นา ๆ ก็ว่ากันไป

...........

ตั้งแต่คืนนั้นข้าก็ออกเดินทางทำตัวให้หายสาบสูญ
แล้ว..ในชาตินี้ข้าไปตายในดินที่น่าเป็นจะเป็นธิเบตในปัจจุบัน

******************** 
ข้านั่งนิ่ง..สงบจิตให้ตั้งมั่น
ผ่านรูปฌานตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขึ้นสูงสุด
จากรูปฌานข้าเพิกรูปทิ้งไป แล้วน้อมจิตเข้าสู่อรูปฌาน
จิตอยู่ในความว่างเปล่า
แล้วดวงจิตที่เริ่มรู้ผิดรู้ชอบตั้งมั่นเต็มที่

ข้าถอยจิตข้ากลับที่อุปจารสมาธิ
ย้อนทวนชาติภพที่ผ่านมาอีกครั้ง

คราวนี้....น่าแปลกเหลือเกิน
ภาพนิมิตรเหมือนกับว่าข้ายืนอยู่บนแผ่นจานแผ่นใหญ่มาก ๆ
ข้ามองเห็นจะมีวงกลมซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ตั้งแต่เล็กแล้วใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ วงแล้ววงเล่า
เหมือน...เหมือน...วงปี..ของต้นไม้

ในสำนึกรู้ของจิตบอกข้าว่า
นี่คือ "วงภพ"
วงภพก็คือวงที่เกิดขึ้นจากการเกิด-ตายของแต่ละภพชาติ

จากจุดที่ข้ายืนอยู่นี่
ข้ามองไม่เห็นจุดเริ่มต้นและสุดท้ายของตัวเอง
มันช่างใหญ่โตมโหฬารเหลือเชื่อ

บัดนี้...ข้าเริ่มกระจ่างขึ้นมาบ้างแล้วว่า
การผ่านภพชาตินั่นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใคร ๆ คิดกันหรอก
ทุกอย่างอยู่ที่องค์ประกอบครบก็เกิดขึ้น
อย่างกับมีเหตุ ก็ต้องได้รับผล ยังไงยังงั้นแหละ

อย่างการเกิดเป็นคนก็ต้องมีองค์ประกอบ ไข่สุก เชื้อ ก่อให้เกิดการปฏิสนธิ
กรรมจะเป็นตัวกำหนดการปฏิสนธิวิญญาณขึ้นภายหลัง
หากขาดตัวกรรม..ก่อกำเนิดจะไม่มี..แล้วแท้งในที่สุด
กรรมเท่านั้นเป็นเครื่องกำกับให้แต่ละชาติภพแตกต่างกัน

เรา ๆ ท่าน ๆ ต่างก็เกิด-ตายกันมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
เพียงแต่เราไม่มีญาณทัศนะที่จะไปมองเห็นเท่านั้นเอง
เราลืมประวัติศาสตร์ของตัวเราเอง
ลืมมันอย่างสนิท นอกจากลืมแล้วเรายังไม่เชื่ออีกต่างหาก

แต่ไม่ว่าจะจำได้หรือลืม "วงภพ" ของเราก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ภพแล้วภพเล่า
จากจุดที่ข้ามองเห็นไม่ใช่จุดเริ่มต้นข้าอยู่ตรงจุดใดจุดหนึ่งในวงภพเท่านั้นเอง
แต่ขอบนอกสุดก็คือชาติปัจจุบันนั่นเอง

เมื่อเรามองภาพรวมของวงภพแล้ว ออกจะน่าสลดใจเสียไม่ได้
ข้าจมอยู่กับความรัก ริษยา และเค้นมายาวนานเหลือเกิน
แม้จะมีการพัฒนาจิตวิญญาณบ้าง
แต่ก็มีแค่ไสยศาสตร์กับสมาธิจิตที่เป็นเปลือกห่อหุ่มอยู่เท่านั้น

ข้ารู้เรื่องของคนอื่นมากมาย แต่เรื่องของตัวข้าเองกลับรู้น้อยกว่าน้อย
จึงมัวแต่มืดบอดอยู่กับความรัก ความหลง และความเค้นจนไม่คิดจะทำอย่างอื่น

ภาพวงภพของแต่ละภพแต่ละชาติที่ผ่านไป
บางชาติข้าเกิดมาเป็นคนยากจนค้นแค้น
บางชาติเกิดมาเป็นพระยามหากษัตริย์
บางชาติเกิดมาเป็นสัตว์
บางภพบางชาติเกิดเป็นพวกกึ่งเทพ เช่น ครุฑ นาค กินนร
และ...และ...อีกมากมาย

... แต่สุดท้ายในภพชาติของเราสามคน
ปะวรรค กับ มนตรา ต้องตายเพราะหินพญานาคของข้าทุกชาติไป

ทั้งสองตายเพราะคำสาปที่ข้ากำกับเอาไว้
ขณะที่ทั้งสองกำลังเสพกามแล้วบรรลุสู่จุดสุดยอด
ละอองจิตที่แผ่กระจายออกมาจะไปกระตุ้นคำสาปของข้าให้ทำงาน
ไอพิษจะกระจายออกมาเข้าไปกับลมหายใจและผิวกาย
ไม่นาน...ไม่ทรมาณ...แต่ก็ไม่สามารถที่จะมีชีวิตต่อไปอีก

************

ข้ามองผ่านวงภพไปเรื่อย ๆ จนไปเจอกับภพหนึ่ง
เป็นภพที่ข้าได้ทำแผ่นทรงกระดาน
ในชาตินั้นข้าเกิดพี่ชายชื่อ นาคิน มีน้องสาวคนหนึ่ง ปิ่นแก้ว
บ้านเราเป็นหมอไสยศาสตร์
ข้ารักและหวงน้องสาวคนนี้ของข้ามาก
ยิ่งนางเป็นสาวข้าก็ยิ่งหวงแหน
ในถิ่นที่อยู่ไม่มีใครกล้าที่จะมาเกี้ยวพาราสีปิ่นแก้วแม้แต่คนเดียว
ข้าสร้างแผ่นทรงกระดานเอาไว้ให้น้องแสนรักของข้าเล่น
แล้วก็มีแต่เธอคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้

กรรม...ก็กำหนดเส้นทางของกรรม
คนต่างถิ่นเข้ามาในหมู่บ้าน
เจ้านั่นชื่อ ราชันย์ เป็นหนุ่มรูปร่างสง่างาม
มีความรู้ ความสามารถเปี่ยมล้น

เนื่องจากได้ยินคำกล่าวขวัญของชาวบ้านว่าปิ่นแก้วเป็นสาวงามที่ใครเห็นจะต้องตะลึง
ราชันย์พยายามหาหนทางที่จะเข้าพบปิ่นแก้วให้ได้
ทำให้ข้ากับราชันย์ปะทะกันก็หลายครั้ง
ราชันย์ก็เป็นคนมีวิชาในการต่อสู้
จึงผลัดกันแพ้และชนะ
ราชันย์ไม่ยอมแพ้ ข้าก็ไม่ยอมแพ้

ในที่สุดขณะที่ปิ่นแก้วไปทำบุญตักบาตร
ราชันย์พยายามแล้วก็แอบมาพบกันปิ่นแก้วจนได้
คงเนื่องด้วยด้วยกรรม...ที่ผูกพันคนทั้งสอง
ต่างคนต่างก็มีใจให้แก่กันและกันในแทบจะทันที

ปิ่นแก้วที่เคยเป็นน้องสาวผู้แสนดีก็เริ่มไม่เชื่อฟังข้า
มันยิ่งทำให้ข้าแค้นเป็นเท่าทวีคูณ
ในคืนนั้น...ข้าก็ฝันไปถึงหินพญานาค
ที่ติดตามข้าไปทุกภพทุกชาติตามแรงอธิษฐาน
ในฝันทำให้ข้าทราบว่าหินพญานาคอยู่คาคบต้นไม้ใหญ่ในป่าลึก

ข้าจึงขออนุญาตท่านพ่อเพื่อเดินทางเข้าป่าไปทันที
คณะที่เดินทางเข้าป่ามีด้วยกัน 3 คน
ข้า ตามีเป็นพราน และไอ้กงลูกน้องคนสนิท

คณะเราเดินทางตามฝันของข้าไปในป่านับเดือน
แต่ก็หาพบต้นไม้ที่ว่า
ข้าให้ไอ้กงปืนขึ้นไปตรงตำแหน่งที่ข้าฝัน
แล้วก็พบว่ามีหินพญานาคอยู่ตรงนั้นจริง ๆ
แต่หินพญานาคถูกเนื้อไม้หุ้มเสียเกือบมิด

ข้าจึงขอปีนขึ้นไปด้วยตัวเอง
เอามีดไปค่อยบากไม้ออก เพื่อให้หินพญานาคหลุดออกมาเป็นอิสระ
ข้าจัดการห่อผ้าผูกกับอกแล้วปีนลงมา
จากนั้นคณะของเราก็รีบเดินทางกลับมายังหมู่บ้าน

มาคิดดูขณะนี้ก็อดแปลกใจไม่ได้
พอราชันย์ปรากฎตัวเข้ามาติดพันน้องสาวข้า
หลังจากนั้นข้าก็ฝันเห็นหินพญานาค
เกิดแรงผลักดันขึ้นในจิตใจอย่างรุนแรงมากที่จะต้องไปเอามาให้ได้

หลังจากนั้นไม่นานนัก
ราชันย์ก็นำเอาพ่อ-แม่ของเค้ามาสู่ขอปิ่นแก้วน้องสาวของข้า
ท่านพ่อกับท่านแม่ต่างก็เห็นดีด้วย
แล้วที่สำคัญที่สุด ปิ่นแก้ว ก็ไม่ตอบปฏิเสธ

ความหวงทำให้ข้าแสนที่จะอาฆาตแค้นแน่นอก
แต่ในขณะนั้นข้าไม่รู้หรอกว่าหินพญานาคนะเป็นอะไร
ในวันที่น้องสาวข้าแต่งงานแล้วส่งตัวเข้าห้องหอ
ในความรู้สึกของข้า
เพียงกระตุ้นให้ข้าเอาหินพญานาคไปแอบวางไว้ตรงหัวเตียง
เท่านั้นพอ....
ข้าก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น

แล้วในที่สุดวังวนก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
ทั้งสองหลังจากเสพสมในวันส่งตัวเข้าห้องหอก็นอนกอดกันตาย
ท่านพ่อ-ท่านแม่ทั้งฝ่ายของข้าและของราชันย์ต่างเศร้าเสียใจกันมาก

ข้าเองก็ไม่แตกต่าง ๆ ตอนนั้นไม่เข้าใจ
ที่ข้าเสียใจนะเพราะข้ารักและหวงน้องสาว..ข้าก็ไม่ได้อยากให้น้องสาวข้าตายเหมือนกัน
แต่วิบากก็เป็นวิบากที่ต้องเป็นไปตามแรงอาฆาตที่ฝังอยู่ในภพชาติ
ชาตินั้นในที่สุดข้าก็เข้าสู่เพศบรรพชิตและจบชีวิตในวัยกลางคน

*********

ชาติแล้วชาติเล่าที่ได้รู้ได้เห็น
มันช่างน่าเบื่อน่าหน่ายเสียเหลือเกิน
เห็นแล้วก็กลับมามองดูการกระทำของตัวเอง
มันช่างไร้สาระเสียเหลือเกิน

ตอนกระทำก็มุมานะจะต้องทำ จะต้องสำเร็จ
พอตอนนี้...ข้าบอกกับตัวเองว่า
ถ้าย้อนเวลาไปได้...ข้าจะไม่ทำแบบนั้น

ข้าเฝ้าดูไปทีละชาติ ๆ ที่เสียดแทงใจ
จนข้าต้องกู่ร้องออกมาเหมือนสัตว์ที่บาดเจ็บ
แล้วก่อนที่เสียงกู่ของข้าจะจบลงกลับมีกระแสเสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยนดังขึ้น

"วรรคปะ..ลูกแม่..."
ข้าเหลียวมองไปรอบ ๆ ห้องที่มืดสนิท
กระแสเสียงนี้เหมือนหยาดน้ำทิพย์ที่ราดรดเข้ามาในจิตใจ

"แม่...แม่...."
"แม่นะเป็นแม่ของลูก เป็นแม่ของปะวรรค เป็นแม่ของมนตรามานับชาติไม่ถ้วน"
"แม่......"
"ลูกวางรัก วางแค้นกับคนทั้งสองได้แล้วใช่ไหมละ..."
ข้าพยักหน้ากับความมืด
"งั้น..ไถ่โทษตัวเองด้วยการถอนพิษจากหินพญานาคของลูกออกไปเสียเถอะ..."
"แม่...ทั้งสองตายไปแล้ว...ข้าทำอะไรไม่ได้..."

เงียบไปครู่หนึ่งแล้วเสียงอ่อนโยนก็ดังขึ้นอีก
"โอม มณี ปัทเม หุม"
เสียงที่ก้องกระหึ่มกังวาลที่กระทบดวงจิตของข้าจนแปร่งประกายเจิดจ้า
เสียงนี้นั่นเองก่อนที่ผนังถ้ำในมิติของนาคจะถล่มทะลายลงมา
เสียงท่านแม่ดังขึ้นอีกว่า

"แม่ใช้พลังแห่งมณีในดอกบัวห่อหุ้มด้วงจิตของทั้งสองเอาไว้
พวกเค้าจะยังไม่ตาย พิษยังไม่สามารถทำลายพวกเค้าได้"
"..ท่านแม่...ช่วยพวกเค้าได้จริง ๆ เหรอ...ลูกเหนื่อยหน่ายเต็มทีแล้ว..."
"ได้ซิลูก..เพียงถอดถอนไอพิษออก..แม่ว่าพวกเค้าจะฟื้นขึ้นมา..."
"ลูกเค้าใจแล้ว...ขอบคุณท่านแม่เหลือเกิน..."

"ลูกคงรู้แล้วซินะ...ว่าพวกเรานะเดินมาในเส้นทางโพธิสัตว์.."
"เส้นทางโพธิสัตว์...????"
"ก็พวกเราไม่ว่าพ่อ แม่ พี่ชาย และลูก เราต่างเดินในเส้นทางนี้
เราสร้างบารมีกันมาไม่ใช่น้อย ๆ นะลูก เรามีปณิธานเพียงข้อเดียว
เป็นข้อที่สำคัญที่สุดก็คือ เราจะทุกข์ยากลำบากไม่เป็นไร
แต่เราต้องการให้คนอื่นมีความสุข...แค่นั้นแหละลูก"

ข้าพยักหน้าในความมืด ในใจลึก ๆ ของข้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ข้าจึงให้ผู้อื่นได้อย่างไม่หวงแหนใด
ใครมาขอความช่วยเหลือแล้วจะไม่ผิดหวัง
ให้โดยไม่หวังตอบแทนด้วยซ้ำไป

แต่มีเพียงอย่างเดียว
เรื่องของข้ากับวรรคปะ-มนตรา
ข้าไม่เคยยอมเค้าแม้แต่ชาติเดียว
มันน่าแปลกและน่ากลัวจริง
เพราะนี่คือสิ่งที่มาจากความอาฆาตพยาบาต
ที่ใช้จิตอันทรงพลังอธิษฐานเอาไว้

"ท่านแม่...ขั้นแรกข้าจะต้องถอนคำอธิษฐานออกเสียก่อน..."
"แม่ดีใจเหลือเกินลูก...ลูกของแม่โตขึ้นแล้วในทางจิตวิญญาณ"
"จากนั้นข้า..ก็ถอนพิษออก..."
"ต่อไปภายภาคหน้า..แม่ขออวยพรให้อยู่แต่ในหนทางที่สว่างไสว เร่งสร้างบารมีเพื่อโพธิญาณ..นะลูกนะ..."
"สาธุ..สาธุ..สาธุ.."
นอกจากเสียงสาธุของข้าแล้วยังมีอีกหลายเสียงที่ดังประสานขึ้น

"แบกอยู่ก็เหนื่อย..ก็หนัก...วางลงซิ...วางแล้วก็เบา..ก็คลาย..."
เสียงอ่อนโยนที่ข้าไม่ทราบว่าใครดังขึ้น

"...วางลงแล้ว...ก็เบา..ก็คลาย..."
ข้าทวนคำนี้อีกครั้ง ใช่แล้ว..ใช่จริง ๆ แค่วางเท่านั้นเอง
จะไปแบกไปหามมันเอาไว้ทำไม
"สาธุ..สาธุ..สาธุ.."

****************************

ข้าถอยกลับมาที่ตัวเอง
เตรียมกำลังใจข้าฌานอีกครั้ง
คราวนี้ข้าปล่อยให้จิตตั้งมั่นอยู่นาน
แล้วค่อยถอยจิตลงมา

ข้าใช้กระแสจิตของข้าประกาศก้องไปทั่วมหาจักรวาล
"กรรมอันใดที่ข้าได้กระทำไว้กับววรคปะ มนตรา ข้าขออโหสิกรรม
ข้าไม่จองเวร..จองภัยอีกต่อไปตราบชั่วนิรันดร์"
ข้าปล่อยให้กระแสจิตของข้าแผ่กว้างออกไปทั่วสากลจักรวาลแทบจะไม่สิ้นสุด

จากนั้นข้าย้อนทวนไปยังวิชาสร้างหินพญานาค
แล้วเริ่มบริกรรมอาคมถอดถอนทันที
กระแสเสียงไม่ได้ดังออกจากปาก
แต่เป็นกระแสเสียงที่ออกจากจิตเป็นคลื่นที่แผ่นผ่านโลกผ่านมิติอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด
ทวนจบแล้วจบเล่าไปเรื่อย ๆ

จนจิตข้าสัมผัสกับกริยาจิตของวรรคปะกับมนตรา
ขณะนี้ข้าถอนพิษออกจากร่างของทั้งสองหมดสิ้นแล้ว
พิษนั้นกลับมาอยู่ที่ตัวข้าเองทั้งหมด

ตอนนี้ตัวข้ามีทั้งพิษของวรรคปะนาคา กับพิษของตัวข้าเอง
เรือนร่างของข้าเกร็งกระตุกเป็นระยะ ๆ
แต่ภายในจิตใจของข้าช่างเบิกบานเสียเหลือเกิน
การให้ย่อมเป็นสุขกว่าการรับ
เบิกบานจนแผ่ออกมาเป็นละอองสีขาวนวลสว่างไปทั่วที่คุมขัง

ข้าได้ยินกระแสเสียงท่านแม่ลอยมาแผ่วเบา
"มนตรา...องอาจ..."
ท่านแม่เรียกพวกเค้าทั้งสอง
"ลุกขึ้นซิลูก..ทุกอย่างจบแล้ว...ลุกขึ้นลูก..."

ด้วยอำนาจจิตของท่านแม่ ทำให้ข้าเห็นภาพภายในห้องนอนของวิสาระ
พี่องอาจผวายันตัวขึ้นจากร่างที่เค้ากกกอด
วิสาระก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
"พี่องอาจ...เกิดอะไรขึ้นเหรอ..."
พี่องอาจส่ายหน้าแล้วดึงผ้าแพรมาคลุมร่างเปลือยเปล่าของวิสาระ

ภาพที่ข้ามองเห็นไม่ได้ทำให้ข้าเจ็บแค้นอีกแล้ว
ภายในมีความยินดีกับความรักที่สืบเนื่องข้ามภพชาติของเค้าทั้งสอง
พวกเค้าเป็นคู่บารมีในการสร้างสมอบรมเพื่อพัฒนาตัวเองโดยแท้จริง

/////////////////////////
หลังจากนั้นอีกสองปี...วิสาระจบปริญญาตรี แล้วก็แต่งงาน
/////////////////////////

ข้าเฝ้าติดตามดวงจิตคนทั้งสองด้วยความชื่นชมยินดี
แต่ตัวข้าก็อ่อนล้าลงเรื่อย ๆ
ข้าเปรียบเหมือนแท่งเทียนที่จุดเพื่อหลอมละลายตัวเอง
กินตัวเองเพื่อให้แสงสว่างแก่ผู้อื่น

แล้วเหมือนมีกระแสลมวูบเข้ามา
เปลวเทียนคือใจข้าก็เกิดการวูบวับริบหรี่..เหมือนอ่อนแรง

ข้าหลับตาลงลงนิ่งจิตหยั่งสู่สมาธิ
ขณะนี้เหมือนมีแรงดูดอันมหาศาลมาที่ดวงจิตของข้า
ทำให้ดวงจิตของข้าพุ่งวาบออกจากร่างในทันที

ภพชาตินี้ของข้าจบสิ้นลงแล้ว
ลาก่อน...ลาก่อน...

----------------------

...3 เดือนหลังแต่งงาน...วิสาระก็ตั้งท้อง

----------------------

อวสาน จอมไสยสาว (อย่างสมบูรณ์)
----------------------------------------------------------------