วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สุโค่ยเรื่องเสียวจอมไสยสาว ภาคพิเศษ อาจอง ตอนที่ 2 (จบ)





ข้ารอเวลา 7 วันด้วยใจระทึกและกระวนกระวาย
...
...
ในที่สุดวันเวลาสำคัญก็มาถึง
คืนที่ 6 ข้าแต่งกายด้วยชุดดำสนิทลักลอบออกจากวังไปที่บ้านอาจารย์บานอง
คนสนิทของข้าได้เตรียมม้าเอาไว้ให้เรียบร้อย
ไม่นานเราทั้ง 3 คนก็ควบม้าออกจากเมืองไปยังบ้านอาจารย์บานอง

....ก๊อก ๆ ๆ.....
"มากันแล้วเหรอ..."
"ใช่อาจารย์..ข้าเอง..."
"ขึ้นมา..."

ข้าให้คนสนิทของข้าทั้งเตรียมอาวุธพร้อมมือ..เฝ้าอยู่ใต้ถุนบ้านของอาจารย์บานอง
ส่วนตัวข้ารีบขึ้นบันไดแล้วเปิดประตูเข้าไปภายในบ้าน
อาจารย์บานองนุ่งขาวห่มขาวนั่งอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชาที่มีเทวรูปต่าง ๆ จำนวนมากมาย
ข้าเดินเข่าเข้าไปหาแล้วพูดว่า
"ทำพิธีได้เลย..ท่านอาจารย์"
อาจารย์บานองหัวเราะร่าก่อนพูดว่า
"องค์ชาย..พิธีนี้เรียกว่า..แปลงรูปถอดร่าง.."
ข้าพยักหน้า
"งั้นเริ่มเลยนะองค์ชาย...องค์ชายเอาชุดของพระเชษฐามาสวมได้เลย"

ข้าหยิบเอาชุดที่ได้ขโมยเอาไว้ก่อนออกมาแล้วเดินไปเปลี่ยนชุดทันที
ชุดของข้าแตกต่างจากชุดของพี่สัญชัยตรงที่ปลายแขนมีปีกสีทองยื่นออกมาเป็นการแสดงยศเท่านั้น
เมื่อสวมชุดของพี่สัญชัยเรียบร้อย ข้ารีบเข้าไปนั่งขัดสมาธิตรงหน้าอาจารย์บานอง
สำหรับขาบริกรรมอาคมที่ได้รับการถ่ายทอดมาให้

ถ้าไม่ใช่การกำชับอย่างหนักแน่นว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามลืมตาเด็ดขาด
ข้าคงทนไม่ได้ เพราะความรู้สึกในตัวเหมือนมีเปลวไฟวิ่งวนไปทั่วร่าง
มันร้อนมากจนเหมือนว่ากระดูกของข้าจะแตกทำลาย
แต่จะยังไงก็ตามข้าก็ยังอดทนหลับตาบริกรรมอาคมไปเรื่อย ๆ

จากความร้อนรุ่มกลายเป็นความเย็นซ่า แล้วก็หนาวเหน็บ
ข้าสั่นสะท้านไปทั้งร่างอย่างไม่อาจข่มกลั้นเอาไว้ได้
ร่างของข้ากระตุกจนลอยขึ้นสูงจากพื้นห้อง
แต่จะยังไงก็ตามข้าก็ยังหลับตาบริกรรมอาคมไม่หยุด
แต่จะยิ่งกลายเป็นบริกรรมถี่เร็วขึ้นอย่างไม่หายใจหายคอ

เสียงบริกรรมของอาจารย์บานองค่อย ๆ แผ่วเบาลงจนหายไป
ตัวข้าเองก็หยุดบริกรรมเหมือนกัน
แต่ก็ยังหลับตานิ่ง

"องค์ชาย..ลืมตาได้แล้ว..."
ข้ารีบลืมตาขึ้น ตอนแรกก็เบลอ ๆ
ข้ามองไปรอบ ๆ ห้องทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรที่แปลกแตกต่างออกไป

"มีอะไรหรืออาจารย์บานอง..."
ข้าถามอย่างสงสัย
"ตอนนี้องค์ชายก็คือพระเชษฐาสัญชัยแล้วละ..."
แม้ข้าจะรู้มาก่อนแต่ก็อดหวั่นไหวในใจไม่ได้
อาจารย์บานองเอาแผ่นทองเหลืองที่ถูกขัดจนขึ้นเงาส่งให้ข้า

"ดูเสียซิ...องค์ชาย..."
อาจารย์บานองหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ปกติใบหน้าข้าก็มีแววประพิมประพายคล้ายกับพี่สัญชัยอยู่แล้ว
แต่ภาพที่ข้าเห็นในเงาสะท้อนของแผ่นทองเหลือง
นี่ไม่ใช่ข้า..เพราะข้าย่อมรู้ความแตกต่างระหว่างเราได้ดี
แต่ที่ข้าเห็นนี่...เป็นรูปลักษณ์ของพี่สัญชัย..แน่นอน...

"อะ..อา...อา...ฮา...ฮา....."
ข้าหัวเราะด้วยความสะใจ
"อาจารย์..ขอบคุณอาจารย์เหลือเกิน..."
ข้าก้มลงกราบอาจารย์บานองด้วยความสำนึกบุญคุณเปี่ยมล้น

"องค์ชายต้องระมัดระวังเรื่องการพูด..."
"อึม..ข้าเตรียมซ้อม ๆ เอาไว้แล้วท่านอาจารย์..."
"อีกอย่าง..องค์ชายต้องระวังให้มากคือ เมื่อไหร่ที่แม่นางมนตราแยกออก
ว่าท่านไม่ใช่องค์ชายสัญชัย ท่านจะคืนร่างเดิม..."
"ข้าเหมือน..ขนาดนี้...นางไม่มีทางแยกออกหรอกอาจารย์ อย่าห่วงเลย..."


แผนการณ์ของข้าเริ่มต้นขึ้น

เช้าวันใหม่............
ข้าแสร้งว่าเดินทางด้วยความอ่อนระโหยเนื่องจากกรากกรำในการตามหาแก้วพญานาค
พอเข้าประตูเมืองมารีบบอกให้ทหารที่รักษาเมืองให้พาเข้าเฝ้าเสด็จแม่ทันที

"เสด็จแม่...ลูก ๆ พยายามเต็มความสามารถแล้ว"
"โอ๋...ลูกลำบากเสียเหลือเกิน..."
"ลูกได้แก้วพญานาคแล้วพระเจ้าข้า.."
ข้าล้วงมือเข้าไปในอกหยิบเอาลูกแก้วที่ข้าได้มาก่อนส่งให้เสด็จแม่

เสด็จแม่ยื่นมารับด้วยความตื่นเต้น
"โอ่...นี่เหรอ..นี่...แก้วพญานาค..."
ข้าพยักหน้าแล้วพูด
"ใช่แล้วเสด็จแม่ ลูกลงไปงมที่ก้นแม่น้ำโขง ลึกมากเหลือเกิน คนที่ลูกพาไปด้วยตายกันหมดเลย"
"เหรอ...โชคดีมากเลยที่ลูกปลอดภัย..."
"แก้วนี่ค่าควรเมืองจริง ๆ ใสสว่างและกระจายแสงเป็นสีรุ้งไปทั่วห้องเลย...สวยจริง ๆ"
"ของมีค่า..ย่อมเหมาะสมกับเบญจกัลยาณีพระเจ้าข้า"
"ใช่...แม่ให้ท่านโหราจารย์กำหนดฤกษ์เมื่อจะได้ทำพิธีหมั้นและแต่งงานให้กับเจ้าเลย"

....................

อีก 7 วันถัดมา
พิธีอภิเสกสมรสระหว่าง เจ้าชายสัญชัย กับ แม่นางมนตรา ธิดาของอัครมหาเสนาบดีคลังก็เริ่มขึ้น
เป็นที่แซ่ซ้องกันไปทั่วทั้งแผ่นดินถึงความเหมาะสมของทั้งสอง

ข้าที่สวมรอยในฐานะของพระเชษฐา
ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะรู้ว่าคนที่ยืนอยู่นี่ไม่ใช่ตัวจริง
ไม่รู้แม้แต่แม่นางมนตรา...
จะมีอะไรที่น่ากระหยิ่มใจไปมากกว่านี้อีกละหรือ

ราชพิธีจะต้องสมบูรณ์ตามโบราณกาล
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ข้ากับอาจารย์บางนองได้วางไว้
ประชาชนทั่วทุกสารทิศแซ่ซร้องสรรเสริญ
มองไปทางไหนก็มีแต่ธงทิวที่มีเครื่องหมายราชวงศ์ปักไว้ตรงกลางพลิ้วสบัด

ฮะ..ฮะ...ฮา....คืนนี้แล้วซินะ..ฮะ..ฮา...คืนที่ข้าจะได้สมหวัง
ข้าลิงโลกยินดีเป็นเท่าทวีคูณ
ราชพิธีสำหรับการส่งตัวเข้าหอจะเป็นอย่างไรข้าไม่สนใจ
ตัวข้าถูกเก็บตัวเอาไว้ในห้องอีกห้องหนึ่ง
จนกระทั้งได้เวลาตามฤกษ์ที่ท่านโหราจารย์กำหนด
ข้าถูกนำตัวไปส่งให้กับเจ้าสาว
แต่ละก้าวที่ข้าเดินหัวใจของข้าเต้น ตึ๊ก ตั๊ก ๆ จนแทบกระดอนออกจากอก
ข้ากำหมัดแน่นเพื่อปิดบังความตื่นเต้น
กลางฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ

บานประตูที่เป็นสีแดงมีลายเถาวัลย์สลักเป็นสีทองสุกสะกาวล้อแสงไฟ
พราหม์เจ้าพิธีเปิดประตูช้า ๆ เสียงเอี๊ยดของการเสียดสีเนื้อไม้แว่วเข้าโสตประสาทข้า
พราหม์จะพูดจะกล่าวอะไรข้าได้ยินเสียงแผ่วเบาเหมือนลอยมาจากที่ห่างไกล

เมื่อจบพิธีการต่าง ๆ ท่านพราหม์ได้จูงมือข้าพาเดินเข้ามาในห้องที่มีผ้าม่านสีแดงเพลิงขวางอยู่
แล้วพราหม์ก็กล่าวขึ้นว่า
"เทพ พรหม ฟ้าและดินต่างก็เป็นสักขีพยานของการอภิเสกสมรสของเจ้าชายแล้วพยาคะ"
"โอม..."
เสียงสรรเสริญก้องสะท้อนไปทั่ว จากนั้นพราหม์ก็ผายมือให้ข้าเดินผ่านผ้าม่านนั้นเข้าไป

ข้ายอมรับว่าข้าสั่นไปหมด
แต่ละก้าวที่ก้าวออกไปเหมือนโลกทั้งโลกจะหยุดหมุน
ก้าวไปได้เพียงสามก้าวข้าก็ได้ยินเสียงปิดประตูแล้วลงสลักดาน
ข้าเดินไปยังผ้าม่านขั้นที่สองที่เป็นสีเขียวอ่อน
ยื่นมือสั่นจนเกินควบคุมไปแหวกผ้าม่านช้า ๆ

หญิงงามที่สุดในชุดสีเขียวอ่อนนั่งอยู่หน้าโต๊ะที่มีกระจกเงาทองเหลืองบานใหญ่
ข้าเห็นเงาวงหน้าที่สะท้อนผ่านมาให้เห็นว่านางก้มหน้าลงปิดเปลืองตานิ่ง
เพียงเท่านั้นเองก็สุดที่อดกลั้น
รีบเดินไปยืนอยู่เบื้องหลังนาง

"มนตรา...ของพี่...."
ข้าไม่สนใจหรอกว่าพี่สัญชัยจะเรียกนางว่าอะไร
นางยังก้มหน้านิ่ง
ข้าเลยโน้มตัวลงหอมเรือนผมที่ยังมีมงกุฏครอบอยู่
"ช่างหอมเหลือเกิน...มนตรา..."
ข้ารำพึงรำพันอย่างเกินที่จะอดกลั้นเอาไว้ได้

นางก็ยังนั่งนิ่งเหมือนเดิม
ข้าค่อย ๆ แกะมงกุฎที่อยู่บนเรือนผมเธอออก
มนตรายื่นมือมารับจากมือข้าแล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะ
ข้าบรรจงถอดเครื่องประดับนา ๆ ที่อยู่บนเรือนผมและใบหน้านางออกทีละชิ้น ๆ กจนหมด

"มนตรา...ๆ ๆ"
ข้ารำพึงปานละเมอ....
นางยังสงบนิ่ง..ดูเหมือนนางจะควบคุมตัวเองได้มากกว่าข้าเสียอีก

ข้ายื่นมือจับไหล่ของนางแล้วดึงให้ลุกขึ้น
มนตราลุกขึ้นยืนแล้วหันหน้ามาหาข้าอย่างช้า ๆ
ข้าก้มหน้าลงจุมพิตที่พวงแก้มอิ่มสีชมพูระเรือ
จากพวงแก้มก็ไล่ลงมาเรื่อย ๆ จนพบกับริมฝีปากงาม
ข้าปะกบจูบริมฝีปากนิ่งและนาน

ข้า..รู้แล้ว..ภาพฉากนี้เองที่ไปอยู่ในนิมิตรของวิสาระในขณะที่ข้าพยายามที่จะเข้าสู่ความฝันของเธอ
แต่ข้าไม่ต้องการให้วิสาระเห็นใบหน้าของข้า จึงใช้มิติอำพรางเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
ขณะที่ข้าเองกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับฝันหวานที่ข้าสร้างให้แก่นางนั้น
เจตสิกเหล็กไหลของเธอก็พุ่งจู่โจมจนข้าต้องถอยร่นออกจากบ้านนั้น

............. 
ข้าค่อย ๆ ปลดผืนผ้าที่ร้อยรัดอยู่ตรงด้านหลังของเธอออก
พยายาม..พยามทำให้ช้าและแผ่วเบาที่สุดเพื่อไม่ให้นางแตกตื่น
มนตราถูกข้าจูบแล้วจูบเล่าจนอ่อนระทวยยืนโงนเงนไปมา
ข้าปลดส่วนที่เป็นเสื้อไหมของเธอออกไปจนได้

ตอนนี้ข้ากำลังยื่นมือไปผ้าที่ใช้รัดทรวงอกของเธอ
ค่อย ๆ คลี่ออกทีละรอบ ๆ เป็นชัน ๆ

ในที่สุด...มนตราก็ยืนเปลือยอกอยู่ในอ้อมกอดของข้า
เธอโถมตัวลงซบกับอกผายเหมือนขอพักพิง
แล้วก้เหมือนกับนกน้อยที่หนาวสะท้านซุกปีกแม่
ข้าสอดมือลงไปรัดสะโพกของนางแล้วยกขึ้นมา
แล้วพาเดินไปยังเตียงที่อยู่ด้านข้าง

เตียงที่มีเสาไม้สักกลึงแกะสลักลวดลายเถาวัลย์อ่อนช้อย
แต่สายตาของข้านะหรือ
ไม่มีไว้สำหรับเชยชมสิ่งเหล่านั้นหรอก

ไม่ว่าจะเป็นผนังห้องที่เป็นลูกฟักของไม้สักทองเนื้อดี
ผ้าม่านที่พริ้วไหวปักลายดอกไม้
ที่นอนอ่อนนุ่มที่ปูไว้ด้วยผ้าทอเนื้อละเอียดลงดิ้นทอง

ในโลกใบนี้จะมีอะไรที่น่าสนใจ
น่าชื่นชมเท่ากับมนตราอีกหรือ
....ไม่มีเสียหรอก...

ข้าวางนางให้นั่งลงที่ขอบเตียง
มนตรา..หายใจกระชั้น..
ข้าคุกเข่าลงตรงหน้านาง
ทรวงอกอวบอูมอยู่ตรงหน้าของข้า

ข้าไม่ใช่ไม่เคยสัมผัสหญิงงาม
แต่ข้าไม่รู้สึกว่าบรรดาที่ข้าเจอมาจะงามเท่าครึ่งเดียวของมนตราก็ไม่มี
บัวตูมคู่งามของนางชูยอดเกสรเล็กกว่าปลายก้อยสีชมพูหวาน
ข้ารู้สึกว่าหวาน...จนข้าเกินจะห้ามใจ

จากที่คิดว่าจะค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ข้าก้าวข้ามขั้นไปจนได้
ข้าอ้าปากออกประกบดูดเกสรบัวตูมทันที

โอววว...มนตรา...ช่างหอมหวานเสียเกิน..

ข้าดูดเม้มจนร่างนั้นกระตุกแล้วห่อไหล่เหมือนจะซ่อนเกสรจากแมลงเช่นข้า
แต่ไม่มีวันเสียละ...
ไม่มีทางที่เธอจะเอาเกสรของเธอหลบไปไหนได้
ข้าบรรจงดูดซ้ายดูดขวาอย่างกระหาย
เสียงขบฟันของมนตราทำให้ข้ารับรู้ได้ว่า เธอซ่านสยิวเพียงใด

ข้าเลยเรียกสติให้กลับคืนมา
ต้องแผ่วเบา..นุ่มนวล..อ่อนหวาน..อ่อนโยน...
ก็ด้วยรัก...ด้วยหัวใจของข้า..และของนาง

ข้าใช้จมูกและริมฝีปากสูดกลิ่นกายที่แสนหอมของนางไปทั่วบัวงาม
ไล่มาที่กลางร่องอก แล้วก็ลากจมูกไล่ลงมาที่หน้าท้อง
มนตราตัวงอลงไปอีก แต่เธอก็ไม่ได้ผลักหน้าข้าออก
มือทั้งสองของเธอบีบและจิกไหล่ของข้าเอาไว้แน่น

ข้าจึงเงยหน้าขึ้นแล้วงับดูดเกสรบัวตูมของเธออีกครั้ง
ดูดเน้น ๆ แรง ๆ จนมีเสียงดัง "จ๊วบ ๆ"
มนตราถึงกับแอ่นกายผวาเฮือกแล้วปล่อยตัวทิ้งลงกับที่นอนนุ่ม

ข้าไม่ปล่อยจังหวะให้เว้นช่วงหรอก
รีบตามไปรุกไล่ที่หลุมสะดือของนางที่กลมได้รูป
ใช้ปลายจมูกขยี้ลงไปที่หลุมสะดือ
มนตราจั๊กจี้จนต้องยักย้ายส่ายสะโพก

ข้าเงยหน้าขึ้นแล้วจัดการปลดแถบผ้าที่ใช้รัดเอวของเธอออก
ใบหน้าของมนตรานวลงามเปร่งปรั่งภายใต้แสงเทียนในห้องหอ

ข้าเองก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว ยื่นมือออกไปช้า ๆ เพื่อกระคลีผ้านุ่งของเธอ
หน้าท้องที่ขาวผ่องนั่นแบนราบ
ข้าเลื่อนผ้าลงมาเรื่อย ๆ จนข้าเห็นผ้าเตี่ยวที่ขาวอยู่อีกชั้น

ข้าถอนหายใจออกมาก่อนที่จะปลดปมผ้าเตี่ยวออก
ผ้าผืนเดียวที่ต้องศิลปะในการรัดและพัน
ก่อนที่จะดึงเอาผ้าเตียวออกจากร่างมนตรา
ข้าต้องถอดผ้าถุงของเธอออกจากปลายเท้าก่อน
แล้วค่อย ๆ จัดการผ้าเตี่ยวของเธอเป็นชิ้นสุดท้าย

............................

ในที่สุด...ในที่สุด...
ร่างขาวโพลนกลางแสงเทียนที่วูบไหววอมแวม
ข้าตลึงกับร่างงาม..จนลมหายใจที่อั้นเอาไว้แทบขาดห้วง

ข้าระบายลมออกมาจนมีเสียงดัง
มนตรายกมือของเธอขึ้นมาปิดบัวงาม

ข้าไม่ว่าอะไร
เนินโหนกของเธอปรากฎแก่สายตาของข้าแล้ว
กลุ่มไหมหย่อมน้อยที่ปกปิดกลีบเนินทั้งสองมันช่างตัดกับความขาวเสียเหลือเกิน
ข้ากลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากยากเย็นเหมือนกลืนก้อนหิน

การสูดลมหายใจก็กระตุกเป็นห้วง ๆ
ใจนะเต้นตูมตามยิ่งกว่าเสียงกลอง

แม้ยามนี้มนตราจะบีบขาเอาไว้แน่นก็ตาม
แต่กลีบแคมของเธอก็นูนเด่นโขว์ความอวบอูมที่ไม่อาจบดบังไปได้
ช่างสวยงามเสียเหลือเกิน...มนตรา...มนตรา...

ข้าโน้มตัวลงซบหน้าลงกับเนินของเธออย่างไม่อาจข่มความอยากเอาไว้ได้อีก
รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส นั่นคล้องใจสัตว์โลกเอาไว้ก็ด้วยเหตุนี้เอง
การสัมผัสด้วยประสาททั้งห้าของข้ากับมนตราก็ร้อยรัดใจข้าให้ไม่อาจถอดถอนออกไปได้
ข้าจูบแล้วจูบเล่าอย่างไม่รู้หน่ายรู้แหนง
จูบจนมนตราครางเสียงแผ่ว ๆ ออกมาจากริมฝีปาก
มือเธอที่ตอนแรกพยายามดันหน้าข้าออกตอนนี้กลับกดไปกับเนินเธอแน่น

ข้าเงยหน้าขึ้นแล้วโน้มตัวลงไปดูดเกสรบัวตูมของเธออีกครั้ง
ดูดเน้นแรง ๆ จนมนตราสั่นสะท้าน

ข้าไล่ลงมาที่เนินโหนกของเธอ
แต่ครั้งนี้ข้าใช้มือจับขาทั้งสองของเธอแยกออก
แล้วซุกหน้าลงไปสัมผัสกลางลำธารของเนินเต็มหน้า

มนตราร้อง "โอ๊ะ..." เหมือนตกใจแต่ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
ข้าทำเช่นนี้กับมนตราเป็นคนแรกในชีวิต
ซึ่งในสมัยนั้นของข้าใครจะทำหรือไม่ข้าไม่รู้
แต่ข้าอยากทำเช่นนี้กับมนตรา
ทำกับมนตราคนเดียวเท่านั้น
ข้าจะไม่ยอมทำให้กับคนอื่นเป็นอัดขาด

นอกจากลิ่น ข้าก็อยากจะชิมรสของมนตราเหมือนกัน
ลิ้นข้าก็ซอกซอนเข้าในหลืบมุมเร้นลับของมนตราทันที
มนตราสะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก

เสียง "อี๊ดดดซซซ...อ๊าดดดดซซซ" ออกจากปากของเธอเป็นระยะ ๆ
โอวววว...มนตรา..เสียงนี้มันช่างไพเราะเสียเหลือเกิน
เป็นเสียงที่ไพเราะกว่าเสียงเพลงใดที่ข้าเคยได้ยินมาก่อน

ใบหน้าที่สัมผัสกับกลืบเนินฉ่ำเยิ้ม
มันช่างน่ากระหยิ่มใจเสียนี่กะไร
หยาดน้ำทิพย์ที่สนองตอบต่อรักของข้ารินหลั่งออกอย่างเปี่ยมล้น

โลกนี้...มีอะไรที่ดีกว่ารสรักอีกหรือ...
โลกนี้...มีอะไรที่อิ่มเอมกว่ารักอีกหรือ
ข้าไม่เชื่อหรอกหากใครบอกว่ามี

ขาทั้งสองของมนตรากางออกเต็มที่
ใบหน้าเธอแดงก่ำเชิดห่อปาก..ครวญเพลงรัก..ให้แก่ข้าอย่างสุดหัวใจ
ข้าดื่มด่ำกับการบรรเลงเพลงรักที่บรรดาลออกมาจากใจที่แท้จริง
ไม่นานข้าก็เปลือยเปล่า

ปฏิบัติการหลังจากนั้นก็เป็นไปโดยธรรมชาติ
การสอดใส่ที่แสนอบอุ่น นุ่มนวล ทนุถนอม
ครั้งแล้วครั้งเล่า...ที่ข้าเสนอสนองให้กับมนตราจนเธออิ่มพอ

แต่สำหรับข้า..ไม่เคยพอ
คืนนั้นทั้งคืน...ข้าไม่หลับไม่นอน
แม้มนตราจะหลับไหลไปด้วยความอ่อนเพลีย
แต่ข้าไม่หลับ...ดวงตาของข้าเบิกโพลง
สายตาของข้าไม่เคยห่างจากร่างของมนตราแม้เสียววินาที

.............

ย้อนรำลึกถึงวันนั้น...ข้าช่างอิ่มเอมเสียเหลือเกิน
แล้วนี่แหละคือเชื้อ..ที่หล่อเลี้ยงดวงจิตของข้าไปชั่วนิรันดร
ไม่ว่าข้าจะต้องทนทุกข์ทรมาณสักเท่าไหร่ก็ตาม
ถึงจะอยู่กลางไฟประลัยกัลป์ข้าก็ไม่เคยหวั่น

ข้ามีความสุขสรรหรรษากับมนตราอยู่ถึง 45 วัน
แต่ก็ไม่รู้เป็นไง...
ในใจข้าลึก ๆ กลับรู้สึกว่ามนตราเหมือนไม่ได้เปิดใจให้ข้าเต็มที่เยี่ยงสามีภรรยา
แรก ๆ ข้าก็คิดไปว่าอาจจะเป็นความหวาดระแวงของข้าเอง
นางไม่มีทางได้รู้เด็ดขาดว่าข้าไม่ใช่สัญชัย

แล้วอีกอย่าง...
ข้าส่งคนของข้าไปจัดการกับเจ้าพี่สัญชัยเรียบร้อยแล้ว
เจ้าพี่จะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกตลอดกาล
นางไม่มีทางที่รู้โดยเด็ดขาด

ข้าสวมรอยเสด็จพี่สัญชัยโดยไม่มีใครสงสัย
ไม่สงสัยแม้แต่เสด็จแม่
ข้าช่างมีความสุยเสียเหลือเกิน
ไม่มีเจ้าพี่เสียคนเดียว...โลกทั้งโลกก็เป็นของข้า
ไปทางไหนก็มีแต่คนแซ่ซร้องสรรเสริญ

****************

แล้ววันหายนะของข้าก็มาถึง
ทหารยามได้นำตัวชายคนหนึ่งเข้ามาในวัง
ข้าได้รับรายงานก็เมื่อสายไปเสียแล้ว

ในที่สุดความลับของข้าก็เปิดเผย
ด้วยเวลาแสนสั้นเหลือเกิน
แค่เพียง 45 วันเท่านั้นเอง
ฝันสุขฝันดีสำหรับข้าก็มีอันจบสิ้น..แค่นั้นเอง
ข้าถูกเสด็จพ่อส่งทหารมาจับตัว

แล้วในที่สุดมนตราก็รู้ความจริง
ผลของความจริงที่นางไม่อาจยอมรับได้

ในที่สุดมนตรา....ก็ฆ่าตัวตาย

เสด็จพี่มาในสภาพยับเยินใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผล
มีพรานป่าคนหนึ่งเดินผ่านมาและช่วยเอาไว้ได้
เสด็จพี่กลับมาด้วยความแค้น
คนสนิทของข้าถูกจับประหารชีวิตทั้งหมด
แม้แต่อาจารย์บานองก็ไม่เว้น

ตัวข้าถูกขังอยู่ในคุกถึง 3 ปีแล้วถูกเนรเทศให้ไปอยู่ในแดนกันดาน
แต่ข้าก็ยังไม่สำนึกผิดใน
ใจเต็มไปด้วยความอาฆาตและความอาลัยในตัวมนตรา

ในแดนป่าข้าไปพบกับหมอผีสำคัญคนหนึ่ง
ข้าฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชาเพื่ออยากกลับมาแก้แค้น

แต่ข้า..ก็ไม่มีโอกาส.............

สิ่งหล่อเลี้ยงดวงจิตข้าก็มีเพียงความสุขในเวลา 45 วันจากมนตรา

ในที่สุดข้าก็ตายลงด้วยไข้ป่า
นิมิตรก่อนข้าจะตายเหมือนกับข้านั่งรอใครสักคนอยู่บนแก้วพญานาค

ก่อนตายข้าได้รวบรวมพลังจิตทั้งหมดให้ตั้งมั่น
แล้วตั้งสัตยาธิษฐานขอติดตามเพื่อรักและแค้นกับสัญชัยและมนตราไปทุกชาติ
ข้าท่องคำอธิษฐานนั้นไปเรื่อย ๆ จนวิญญาณออกจากร่าง..จบภพชาติ

--------------------

หลังจากนั้นข้าก็ต้องเข้าไปสู่สถานจองจำ...อยู่นานเท่านาน

--------------------

วันเวลาผ่านไป..ผ่านไป...นานเท่าไหร่กันหนอ
ความทุกข์ทรมาณที่เกิดกับดวงจิตของข้าช้าชินจนเหมือนอยู่ในภาวะปกติ
สลบแล้วก็ฟื้นตื่นขึ้นมา แล้วก็สลบไปอีก
ในแดนจองจำนี้ไม่มีคำว่าตาย

วันเวลา...ก็ผ่านไปตามวัฏจักร

ข้าผวาตื่นขึ้นมา
มองไปรอบ ๆ ที่แปลกแตกต่างจากแดนจองจำที่เคยอยู่
แล้วข้าก็ต้องสะดุ้งจนร้องลั่น
สภาพข้าตอนนี้เป็นท่อนยาวนับวา

อะไร...อะไรเกิดกับข้า
เสียงร้องของข้าทำให้มีคนเข้ามาหาจำนวนมากมาย
ปะวรรค...ปะวรรค...ลูกแม่
เอ...ใคร...ใครกัน...ปะวรรค...

ข้าก้มลงมองร่างของตัวเองอย่างตื่นตระหนก
ร่างงูของข้าเป็นสีเขียวเหลือบมลังมะเลือง
"ปะวรรค..ลูกพ่อ..."
ชายคนหนึ่งที่มีจงอยผมสูงที่กลางหัวเรียก

ปะวรรค...คือข้าเองละหรือ
แล้วผู้หญิงคนนั้นก็คือแม่ข้าละสิ
ชายคนนั้นก็คือพ่อของข้า
แต่ทุกคนไม่เหมือนข้า...
นางผู้ซึ่งเป็นแม่เข้ามาปลอบประโลมเพื่อให้ข้าคลายความตื่นตระหนก

..........

ในที่สุดข้าก็ได้รับรู้ความจริงว่า
ข้าคือ "วปะรรคนาคา" เป็นทายาทของเผ่าพันธุ์ของพญานาคตระกูลเอราปถ
เป็นพญานาคตระกูลสีเขียว เป็นหนึ่งในสี่ของตระกูลนาค
ข้าเป็นลูกชายคนที่สอง ข้ามีพี่ชื่อ วรรคปะ
เราเติบโตมาด้วยกันข้ารักและเคารพพี่วรรคปะมาก

แล้วเหตุการณ์แปรผันก็เกิดขึ้น
วันหนึ่งขณะที่แผ่นโผนโจนทยานเล่นน้ำอยู่กลางลำน้ำโขง
ข้าได้พบกับนางนาคสาวแสนงามนางหนึ่ง
นางเป็นนาคตระกูลฉัพพยาปุตตะ ที่มีผิวกายสีรุ้งเจิดจ้า
ข้าได้หยอกล้อกับนางที่มากด้วยฤทธิ์อย่างสนุกสนาน
แม้นางจะไม่สนุกกับข้าสักเท่าไหร่ก็ตาม

หลังจากวันนั้นข้าก็เฝ้าแต่ฝันถึงคิดถึงนางนาคตระกูลฉัพพยาปุตตะ
จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
ข้าไปดักรอนางเท่าไหร่ก็ไม่เจอ

แต่แล้ว...
พี่วรรคปะได้พาสาวงามร่างระหงนางหนึ่งมาพบกับท่านพ่อโดยแนะนำว่า
"พ่อ..นี่มนตรานาคา เธอเป็นนาคตระกูลฉัพพยาปุตตะ"

เธอนั่นเอง...เธอนั่นเอง
ข้ารำพึงรำพันอยู่ในใจด้วยความเจ็บปวด
เธอคือนางนาคคนที่ข้าพบกลางแม่น้ำโขงตนนั้นนั่นเอง
แม้ในขณะนี้จะมาในร่างของมนุษย์ก็ตาม
แต่ในกลุ่มนาคผู้ทรงฤทธิ์จะทราบร่างเดิมกันได้เป็นอย่างดี

พอเธอเห็นข้าก็จำข้าได้เหมือนกัน
นางเบิกตาโตแล้วสบัดหน้าหนีเหมือนไม่อยากรู้จัก
แต่ข้ารีบเข้าไปหานางแล้วพูดว่า
"แม่นาง..จำข้าได้หรือเปล่า..."
นางนิ่งเฉยไม่ตอบคำของข้า

พี่วรรคปะเรียกข้าขึ้น
"ปะวรรค...นี่มนตราคนรักของพี่..."
ในใจของข้าเหมือนกับถูกเขี้ยวนาคขย้ำ
มันเจ็บปวดเสียเหลือเกิน

สายตาของข้าที่มองพี่วรรคปะเริ่มเปลี่ยนไป
----------------

จากนั้นการจองเวรของข้าก็เริ่มต้น
ข้าเริ่มเสาะหาครูอาจารย์เก่งเพื่อร่ำเรียนวิชา
คนแล้วคนเล่า...ไม่รู้จบไม่รู้พอ

เพื่ออะไรหรือ...ตอนนั้นข้าเองก็ไม่รู้
ข้าเพียงสนองแรงกระตุ้นที่รุนแรงเหลือเกินที่ออกมาจากความแค้นในอดีตเท่านั้นเอง

จนในที่สุดข้าได้พบกับอาจารย์คนหนึ่ง
ข้าเรียกท่านว่า "ท่านครู" เท่านเอง
ท่านครูถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ มากมาย
แล้ววิชาหนึ่งที่ตรงใจข้าก็คือวิชาสร้าง "หินพญานาค"

ด้วยความมุมานะทุ่มเทด้วยชีวิตจิตใจ
ข้าก็ได้เป็นผู้สืบวิชาของท่านครูอย่างสมบูรณ์

เมื่อกลับมายังที่พัก
ข้าก็เริ่มบำเพ็ญจิตเพื่อให้มีกำลังสูงสุด
วัตถุประสงค์ก็เพื่อสร้างหินพญานาค
ที่เรียกว่าหินนั้นความจริงไม่ใช่หิน
แต่เป็นน้ำดีที่กลั่นออกจากตัวของผู้สร้างนั่นเอง

การสร้างจึงเหน็ดเหนื่อยและลำบาก
เมื่อสำเร็จแล้วหินพญานาคก็คือกล่องที่อยู่เหนือกาลเวลา
ภายในจะเก็บหยดพิษที่ได้มาจากเขี้ยวของตัวข้าเอง
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพลังจิตที่กำกับ
หรือก็คือการอธิษฐานจิต
หรืออาจเรียกว่าสาบก็ได้
สาบว่าจะให้พิษนั่นทำงานอย่างไรให้ได้ดังใจปรารถนา

หลังจากนั้นอีก 7 วัน
หินพญานาคของข้าก็สำเร็จ
เป็นแท่งสีดำสนิทมะลังมะเลือง ตรงกลางมีร่องขีดยาว
ตรงกลางร่องจะมีรูเล็ก ๆ เท่าปลายเข็มอยู่หนึ่งรู แทบมองไม่เห็น
ข้าจ้องมองด้วยความกระหยิ่ม
จากนั้นก็ข้าก็สลบไปทันที

ผ่านไปคงจะหลายวัน
ข้าฟื้นขึ้นมาจากความเหนื่อยและอ่อนเพลีย
รีบซ่อนหินพญานาคไว้ในที่มิดชิดแล้วกำกับด้วยอาคมบังตา
แล้วข้าก็ลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซออกมา

.........

วันเวลาผ่านเลยไป
หินพญานาคของข้าก็คือของขวัญวันแต่งงาน
ข้าเป็นคนเอาไปมอบให้และวางเอาไว้ในห้องหอ

วันสงตัวเข้าห้องหอ
หลังจากทั้งสองเสพสมอารมณ์หมาย...ก็นอนกอดกันตาย

เหตุการณ์นี้โจษจรรกันไปบ้านทั่วเมือง
บ้างก็ว่าอาถรรพ์
บ้างก็ว่าผิดผี
ต่าง ๆ นา ๆ ก็ว่ากันไป

...........

ตั้งแต่คืนนั้นข้าก็ออกเดินทางทำตัวให้หายสาบสูญ
แล้ว..ในชาตินี้ข้าไปตายในดินที่น่าเป็นจะเป็นธิเบตในปัจจุบัน

******************** 
ข้านั่งนิ่ง..สงบจิตให้ตั้งมั่น
ผ่านรูปฌานตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขึ้นสูงสุด
จากรูปฌานข้าเพิกรูปทิ้งไป แล้วน้อมจิตเข้าสู่อรูปฌาน
จิตอยู่ในความว่างเปล่า
แล้วดวงจิตที่เริ่มรู้ผิดรู้ชอบตั้งมั่นเต็มที่

ข้าถอยจิตข้ากลับที่อุปจารสมาธิ
ย้อนทวนชาติภพที่ผ่านมาอีกครั้ง

คราวนี้....น่าแปลกเหลือเกิน
ภาพนิมิตรเหมือนกับว่าข้ายืนอยู่บนแผ่นจานแผ่นใหญ่มาก ๆ
ข้ามองเห็นจะมีวงกลมซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ตั้งแต่เล็กแล้วใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ วงแล้ววงเล่า
เหมือน...เหมือน...วงปี..ของต้นไม้

ในสำนึกรู้ของจิตบอกข้าว่า
นี่คือ "วงภพ"
วงภพก็คือวงที่เกิดขึ้นจากการเกิด-ตายของแต่ละภพชาติ

จากจุดที่ข้ายืนอยู่นี่
ข้ามองไม่เห็นจุดเริ่มต้นและสุดท้ายของตัวเอง
มันช่างใหญ่โตมโหฬารเหลือเชื่อ

บัดนี้...ข้าเริ่มกระจ่างขึ้นมาบ้างแล้วว่า
การผ่านภพชาตินั่นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใคร ๆ คิดกันหรอก
ทุกอย่างอยู่ที่องค์ประกอบครบก็เกิดขึ้น
อย่างกับมีเหตุ ก็ต้องได้รับผล ยังไงยังงั้นแหละ

อย่างการเกิดเป็นคนก็ต้องมีองค์ประกอบ ไข่สุก เชื้อ ก่อให้เกิดการปฏิสนธิ
กรรมจะเป็นตัวกำหนดการปฏิสนธิวิญญาณขึ้นภายหลัง
หากขาดตัวกรรม..ก่อกำเนิดจะไม่มี..แล้วแท้งในที่สุด
กรรมเท่านั้นเป็นเครื่องกำกับให้แต่ละชาติภพแตกต่างกัน

เรา ๆ ท่าน ๆ ต่างก็เกิด-ตายกันมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
เพียงแต่เราไม่มีญาณทัศนะที่จะไปมองเห็นเท่านั้นเอง
เราลืมประวัติศาสตร์ของตัวเราเอง
ลืมมันอย่างสนิท นอกจากลืมแล้วเรายังไม่เชื่ออีกต่างหาก

แต่ไม่ว่าจะจำได้หรือลืม "วงภพ" ของเราก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ภพแล้วภพเล่า
จากจุดที่ข้ามองเห็นไม่ใช่จุดเริ่มต้นข้าอยู่ตรงจุดใดจุดหนึ่งในวงภพเท่านั้นเอง
แต่ขอบนอกสุดก็คือชาติปัจจุบันนั่นเอง

เมื่อเรามองภาพรวมของวงภพแล้ว ออกจะน่าสลดใจเสียไม่ได้
ข้าจมอยู่กับความรัก ริษยา และเค้นมายาวนานเหลือเกิน
แม้จะมีการพัฒนาจิตวิญญาณบ้าง
แต่ก็มีแค่ไสยศาสตร์กับสมาธิจิตที่เป็นเปลือกห่อหุ่มอยู่เท่านั้น

ข้ารู้เรื่องของคนอื่นมากมาย แต่เรื่องของตัวข้าเองกลับรู้น้อยกว่าน้อย
จึงมัวแต่มืดบอดอยู่กับความรัก ความหลง และความเค้นจนไม่คิดจะทำอย่างอื่น

ภาพวงภพของแต่ละภพแต่ละชาติที่ผ่านไป
บางชาติข้าเกิดมาเป็นคนยากจนค้นแค้น
บางชาติเกิดมาเป็นพระยามหากษัตริย์
บางชาติเกิดมาเป็นสัตว์
บางภพบางชาติเกิดเป็นพวกกึ่งเทพ เช่น ครุฑ นาค กินนร
และ...และ...อีกมากมาย

... แต่สุดท้ายในภพชาติของเราสามคน
ปะวรรค กับ มนตรา ต้องตายเพราะหินพญานาคของข้าทุกชาติไป

ทั้งสองตายเพราะคำสาปที่ข้ากำกับเอาไว้
ขณะที่ทั้งสองกำลังเสพกามแล้วบรรลุสู่จุดสุดยอด
ละอองจิตที่แผ่กระจายออกมาจะไปกระตุ้นคำสาปของข้าให้ทำงาน
ไอพิษจะกระจายออกมาเข้าไปกับลมหายใจและผิวกาย
ไม่นาน...ไม่ทรมาณ...แต่ก็ไม่สามารถที่จะมีชีวิตต่อไปอีก

************

ข้ามองผ่านวงภพไปเรื่อย ๆ จนไปเจอกับภพหนึ่ง
เป็นภพที่ข้าได้ทำแผ่นทรงกระดาน
ในชาตินั้นข้าเกิดพี่ชายชื่อ นาคิน มีน้องสาวคนหนึ่ง ปิ่นแก้ว
บ้านเราเป็นหมอไสยศาสตร์
ข้ารักและหวงน้องสาวคนนี้ของข้ามาก
ยิ่งนางเป็นสาวข้าก็ยิ่งหวงแหน
ในถิ่นที่อยู่ไม่มีใครกล้าที่จะมาเกี้ยวพาราสีปิ่นแก้วแม้แต่คนเดียว
ข้าสร้างแผ่นทรงกระดานเอาไว้ให้น้องแสนรักของข้าเล่น
แล้วก็มีแต่เธอคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้

กรรม...ก็กำหนดเส้นทางของกรรม
คนต่างถิ่นเข้ามาในหมู่บ้าน
เจ้านั่นชื่อ ราชันย์ เป็นหนุ่มรูปร่างสง่างาม
มีความรู้ ความสามารถเปี่ยมล้น

เนื่องจากได้ยินคำกล่าวขวัญของชาวบ้านว่าปิ่นแก้วเป็นสาวงามที่ใครเห็นจะต้องตะลึง
ราชันย์พยายามหาหนทางที่จะเข้าพบปิ่นแก้วให้ได้
ทำให้ข้ากับราชันย์ปะทะกันก็หลายครั้ง
ราชันย์ก็เป็นคนมีวิชาในการต่อสู้
จึงผลัดกันแพ้และชนะ
ราชันย์ไม่ยอมแพ้ ข้าก็ไม่ยอมแพ้

ในที่สุดขณะที่ปิ่นแก้วไปทำบุญตักบาตร
ราชันย์พยายามแล้วก็แอบมาพบกันปิ่นแก้วจนได้
คงเนื่องด้วยด้วยกรรม...ที่ผูกพันคนทั้งสอง
ต่างคนต่างก็มีใจให้แก่กันและกันในแทบจะทันที

ปิ่นแก้วที่เคยเป็นน้องสาวผู้แสนดีก็เริ่มไม่เชื่อฟังข้า
มันยิ่งทำให้ข้าแค้นเป็นเท่าทวีคูณ
ในคืนนั้น...ข้าก็ฝันไปถึงหินพญานาค
ที่ติดตามข้าไปทุกภพทุกชาติตามแรงอธิษฐาน
ในฝันทำให้ข้าทราบว่าหินพญานาคอยู่คาคบต้นไม้ใหญ่ในป่าลึก

ข้าจึงขออนุญาตท่านพ่อเพื่อเดินทางเข้าป่าไปทันที
คณะที่เดินทางเข้าป่ามีด้วยกัน 3 คน
ข้า ตามีเป็นพราน และไอ้กงลูกน้องคนสนิท

คณะเราเดินทางตามฝันของข้าไปในป่านับเดือน
แต่ก็หาพบต้นไม้ที่ว่า
ข้าให้ไอ้กงปืนขึ้นไปตรงตำแหน่งที่ข้าฝัน
แล้วก็พบว่ามีหินพญานาคอยู่ตรงนั้นจริง ๆ
แต่หินพญานาคถูกเนื้อไม้หุ้มเสียเกือบมิด

ข้าจึงขอปีนขึ้นไปด้วยตัวเอง
เอามีดไปค่อยบากไม้ออก เพื่อให้หินพญานาคหลุดออกมาเป็นอิสระ
ข้าจัดการห่อผ้าผูกกับอกแล้วปีนลงมา
จากนั้นคณะของเราก็รีบเดินทางกลับมายังหมู่บ้าน

มาคิดดูขณะนี้ก็อดแปลกใจไม่ได้
พอราชันย์ปรากฎตัวเข้ามาติดพันน้องสาวข้า
หลังจากนั้นข้าก็ฝันเห็นหินพญานาค
เกิดแรงผลักดันขึ้นในจิตใจอย่างรุนแรงมากที่จะต้องไปเอามาให้ได้

หลังจากนั้นไม่นานนัก
ราชันย์ก็นำเอาพ่อ-แม่ของเค้ามาสู่ขอปิ่นแก้วน้องสาวของข้า
ท่านพ่อกับท่านแม่ต่างก็เห็นดีด้วย
แล้วที่สำคัญที่สุด ปิ่นแก้ว ก็ไม่ตอบปฏิเสธ

ความหวงทำให้ข้าแสนที่จะอาฆาตแค้นแน่นอก
แต่ในขณะนั้นข้าไม่รู้หรอกว่าหินพญานาคนะเป็นอะไร
ในวันที่น้องสาวข้าแต่งงานแล้วส่งตัวเข้าห้องหอ
ในความรู้สึกของข้า
เพียงกระตุ้นให้ข้าเอาหินพญานาคไปแอบวางไว้ตรงหัวเตียง
เท่านั้นพอ....
ข้าก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น

แล้วในที่สุดวังวนก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
ทั้งสองหลังจากเสพสมในวันส่งตัวเข้าห้องหอก็นอนกอดกันตาย
ท่านพ่อ-ท่านแม่ทั้งฝ่ายของข้าและของราชันย์ต่างเศร้าเสียใจกันมาก

ข้าเองก็ไม่แตกต่าง ๆ ตอนนั้นไม่เข้าใจ
ที่ข้าเสียใจนะเพราะข้ารักและหวงน้องสาว..ข้าก็ไม่ได้อยากให้น้องสาวข้าตายเหมือนกัน
แต่วิบากก็เป็นวิบากที่ต้องเป็นไปตามแรงอาฆาตที่ฝังอยู่ในภพชาติ
ชาตินั้นในที่สุดข้าก็เข้าสู่เพศบรรพชิตและจบชีวิตในวัยกลางคน

*********

ชาติแล้วชาติเล่าที่ได้รู้ได้เห็น
มันช่างน่าเบื่อน่าหน่ายเสียเหลือเกิน
เห็นแล้วก็กลับมามองดูการกระทำของตัวเอง
มันช่างไร้สาระเสียเหลือเกิน

ตอนกระทำก็มุมานะจะต้องทำ จะต้องสำเร็จ
พอตอนนี้...ข้าบอกกับตัวเองว่า
ถ้าย้อนเวลาไปได้...ข้าจะไม่ทำแบบนั้น

ข้าเฝ้าดูไปทีละชาติ ๆ ที่เสียดแทงใจ
จนข้าต้องกู่ร้องออกมาเหมือนสัตว์ที่บาดเจ็บ
แล้วก่อนที่เสียงกู่ของข้าจะจบลงกลับมีกระแสเสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยนดังขึ้น

"วรรคปะ..ลูกแม่..."
ข้าเหลียวมองไปรอบ ๆ ห้องที่มืดสนิท
กระแสเสียงนี้เหมือนหยาดน้ำทิพย์ที่ราดรดเข้ามาในจิตใจ

"แม่...แม่...."
"แม่นะเป็นแม่ของลูก เป็นแม่ของปะวรรค เป็นแม่ของมนตรามานับชาติไม่ถ้วน"
"แม่......"
"ลูกวางรัก วางแค้นกับคนทั้งสองได้แล้วใช่ไหมละ..."
ข้าพยักหน้ากับความมืด
"งั้น..ไถ่โทษตัวเองด้วยการถอนพิษจากหินพญานาคของลูกออกไปเสียเถอะ..."
"แม่...ทั้งสองตายไปแล้ว...ข้าทำอะไรไม่ได้..."

เงียบไปครู่หนึ่งแล้วเสียงอ่อนโยนก็ดังขึ้นอีก
"โอม มณี ปัทเม หุม"
เสียงที่ก้องกระหึ่มกังวาลที่กระทบดวงจิตของข้าจนแปร่งประกายเจิดจ้า
เสียงนี้นั่นเองก่อนที่ผนังถ้ำในมิติของนาคจะถล่มทะลายลงมา
เสียงท่านแม่ดังขึ้นอีกว่า

"แม่ใช้พลังแห่งมณีในดอกบัวห่อหุ้มด้วงจิตของทั้งสองเอาไว้
พวกเค้าจะยังไม่ตาย พิษยังไม่สามารถทำลายพวกเค้าได้"
"..ท่านแม่...ช่วยพวกเค้าได้จริง ๆ เหรอ...ลูกเหนื่อยหน่ายเต็มทีแล้ว..."
"ได้ซิลูก..เพียงถอดถอนไอพิษออก..แม่ว่าพวกเค้าจะฟื้นขึ้นมา..."
"ลูกเค้าใจแล้ว...ขอบคุณท่านแม่เหลือเกิน..."

"ลูกคงรู้แล้วซินะ...ว่าพวกเรานะเดินมาในเส้นทางโพธิสัตว์.."
"เส้นทางโพธิสัตว์...????"
"ก็พวกเราไม่ว่าพ่อ แม่ พี่ชาย และลูก เราต่างเดินในเส้นทางนี้
เราสร้างบารมีกันมาไม่ใช่น้อย ๆ นะลูก เรามีปณิธานเพียงข้อเดียว
เป็นข้อที่สำคัญที่สุดก็คือ เราจะทุกข์ยากลำบากไม่เป็นไร
แต่เราต้องการให้คนอื่นมีความสุข...แค่นั้นแหละลูก"

ข้าพยักหน้าในความมืด ในใจลึก ๆ ของข้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ข้าจึงให้ผู้อื่นได้อย่างไม่หวงแหนใด
ใครมาขอความช่วยเหลือแล้วจะไม่ผิดหวัง
ให้โดยไม่หวังตอบแทนด้วยซ้ำไป

แต่มีเพียงอย่างเดียว
เรื่องของข้ากับวรรคปะ-มนตรา
ข้าไม่เคยยอมเค้าแม้แต่ชาติเดียว
มันน่าแปลกและน่ากลัวจริง
เพราะนี่คือสิ่งที่มาจากความอาฆาตพยาบาต
ที่ใช้จิตอันทรงพลังอธิษฐานเอาไว้

"ท่านแม่...ขั้นแรกข้าจะต้องถอนคำอธิษฐานออกเสียก่อน..."
"แม่ดีใจเหลือเกินลูก...ลูกของแม่โตขึ้นแล้วในทางจิตวิญญาณ"
"จากนั้นข้า..ก็ถอนพิษออก..."
"ต่อไปภายภาคหน้า..แม่ขออวยพรให้อยู่แต่ในหนทางที่สว่างไสว เร่งสร้างบารมีเพื่อโพธิญาณ..นะลูกนะ..."
"สาธุ..สาธุ..สาธุ.."
นอกจากเสียงสาธุของข้าแล้วยังมีอีกหลายเสียงที่ดังประสานขึ้น

"แบกอยู่ก็เหนื่อย..ก็หนัก...วางลงซิ...วางแล้วก็เบา..ก็คลาย..."
เสียงอ่อนโยนที่ข้าไม่ทราบว่าใครดังขึ้น

"...วางลงแล้ว...ก็เบา..ก็คลาย..."
ข้าทวนคำนี้อีกครั้ง ใช่แล้ว..ใช่จริง ๆ แค่วางเท่านั้นเอง
จะไปแบกไปหามมันเอาไว้ทำไม
"สาธุ..สาธุ..สาธุ.."

****************************

ข้าถอยกลับมาที่ตัวเอง
เตรียมกำลังใจข้าฌานอีกครั้ง
คราวนี้ข้าปล่อยให้จิตตั้งมั่นอยู่นาน
แล้วค่อยถอยจิตลงมา

ข้าใช้กระแสจิตของข้าประกาศก้องไปทั่วมหาจักรวาล
"กรรมอันใดที่ข้าได้กระทำไว้กับววรคปะ มนตรา ข้าขออโหสิกรรม
ข้าไม่จองเวร..จองภัยอีกต่อไปตราบชั่วนิรันดร์"
ข้าปล่อยให้กระแสจิตของข้าแผ่กว้างออกไปทั่วสากลจักรวาลแทบจะไม่สิ้นสุด

จากนั้นข้าย้อนทวนไปยังวิชาสร้างหินพญานาค
แล้วเริ่มบริกรรมอาคมถอดถอนทันที
กระแสเสียงไม่ได้ดังออกจากปาก
แต่เป็นกระแสเสียงที่ออกจากจิตเป็นคลื่นที่แผ่นผ่านโลกผ่านมิติอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด
ทวนจบแล้วจบเล่าไปเรื่อย ๆ

จนจิตข้าสัมผัสกับกริยาจิตของวรรคปะกับมนตรา
ขณะนี้ข้าถอนพิษออกจากร่างของทั้งสองหมดสิ้นแล้ว
พิษนั้นกลับมาอยู่ที่ตัวข้าเองทั้งหมด

ตอนนี้ตัวข้ามีทั้งพิษของวรรคปะนาคา กับพิษของตัวข้าเอง
เรือนร่างของข้าเกร็งกระตุกเป็นระยะ ๆ
แต่ภายในจิตใจของข้าช่างเบิกบานเสียเหลือเกิน
การให้ย่อมเป็นสุขกว่าการรับ
เบิกบานจนแผ่ออกมาเป็นละอองสีขาวนวลสว่างไปทั่วที่คุมขัง

ข้าได้ยินกระแสเสียงท่านแม่ลอยมาแผ่วเบา
"มนตรา...องอาจ..."
ท่านแม่เรียกพวกเค้าทั้งสอง
"ลุกขึ้นซิลูก..ทุกอย่างจบแล้ว...ลุกขึ้นลูก..."

ด้วยอำนาจจิตของท่านแม่ ทำให้ข้าเห็นภาพภายในห้องนอนของวิสาระ
พี่องอาจผวายันตัวขึ้นจากร่างที่เค้ากกกอด
วิสาระก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
"พี่องอาจ...เกิดอะไรขึ้นเหรอ..."
พี่องอาจส่ายหน้าแล้วดึงผ้าแพรมาคลุมร่างเปลือยเปล่าของวิสาระ

ภาพที่ข้ามองเห็นไม่ได้ทำให้ข้าเจ็บแค้นอีกแล้ว
ภายในมีความยินดีกับความรักที่สืบเนื่องข้ามภพชาติของเค้าทั้งสอง
พวกเค้าเป็นคู่บารมีในการสร้างสมอบรมเพื่อพัฒนาตัวเองโดยแท้จริง

/////////////////////////
หลังจากนั้นอีกสองปี...วิสาระจบปริญญาตรี แล้วก็แต่งงาน
/////////////////////////

ข้าเฝ้าติดตามดวงจิตคนทั้งสองด้วยความชื่นชมยินดี
แต่ตัวข้าก็อ่อนล้าลงเรื่อย ๆ
ข้าเปรียบเหมือนแท่งเทียนที่จุดเพื่อหลอมละลายตัวเอง
กินตัวเองเพื่อให้แสงสว่างแก่ผู้อื่น

แล้วเหมือนมีกระแสลมวูบเข้ามา
เปลวเทียนคือใจข้าก็เกิดการวูบวับริบหรี่..เหมือนอ่อนแรง

ข้าหลับตาลงลงนิ่งจิตหยั่งสู่สมาธิ
ขณะนี้เหมือนมีแรงดูดอันมหาศาลมาที่ดวงจิตของข้า
ทำให้ดวงจิตของข้าพุ่งวาบออกจากร่างในทันที

ภพชาตินี้ของข้าจบสิ้นลงแล้ว
ลาก่อน...ลาก่อน...

----------------------

...3 เดือนหลังแต่งงาน...วิสาระก็ตั้งท้อง

----------------------

อวสาน จอมไสยสาว (อย่างสมบูรณ์)
----------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น